รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน? พร้อมขั้นตอนครบถ้วน

/
/
รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน? พร้อมขั้นตอนครบถ้วน

หากคุณกำลังมีคำถามว่าจะเลือกรีไฟแนนซ์บ้านหรือลดดอกเบี้ยบ้านดี? วิธีการไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน วิธีการและขั้นตอนของแต่ละวิธีจะเป็นอย่างไร

เมื่อผ่อนบ้านมาได้สักระยะหรือเต็มที่ 3 ปี หลายคนก็คงคิดเรื่องของการ รีไฟแนนซ์บ้าน หรือ การขอลดดอกเบี้ยบ้านกัน เพราะเมื่อขึ้นปีที่ 4 หลายธนาคารมักจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 

เมื่อผ่อนบ้านมาได้สักระยะหรือเต็มที่ 3 ปี หลายคนก็คงคิดเรื่องของการ รีไฟแนนซ์บ้าน หรือ การขอลดดอกเบี้ยบ้านกัน เพราะเมื่อขึ้นปีที่ 4 หลายธนาคารมักจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 

จากเดิม อัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ราว 3% – 4% ของภาระหนี้สิน แต่เมื่อปรับขึ้นจะอยู่ราว 5% – 7% เมื่อคิดต่อปีแล้ว ทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นถึงหลักแสนบาทต่อปี 

หากคุณกำลังมีคำถามว่า จะเลือกรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ ลดดอกเบี้ยบ้านดี? วิธีการไหนจะคุ้มค่ากว่ากัน วิธีการและขั้นตอน ความยาก-ง่ายของแต่ละวิธีจะเป็นอย่างไร มาหาคำตอบและเลือกวิธีประหยัดดอกเบี้ยบ้านที่เหมาะกับคุณกันเลย

อ่านตามหัวข้อ

รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร? ได้อัตราดอกเบี้ยประมาณเท่าไร?

รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน?

รีไฟแนนซ์บ้าน คืออะไร? ได้อัตราดอกเบี้ยประมาณเท่าไร?

รีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance) คือ การเปลี่ยนสินเชื่อจากธนาคารเดิมเป็นธนาคารใหม่ โดยมีการยื่นกู้ ยื่นเอกสารใหม่เหมือนเราขอสินเชื่อบ้านใหม่ทั้งหมด และมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ใหม่เหมือนกับการยื่นกู้ 3 ปีแรก ผู้ที่ขอยื่นรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารจึงมีโอกาสได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้านจากธนาคารเดิม

อัตราดอกเบี้ยจากวิธีรีไฟแนนซ์บ้าน

เหมือนการคิดอัตราดอกเบี้ย แรกขอสินเชื่อ อาจได้โปรโมชันต่าง ๆ ของธนาคาร โดยอาจจะเป็น Fixed Rate แบบที่เพิ่มเป็นขั้น ซึ่งเฉลี่ยตลอด 3 ปี อาจจะอยู่ที่ 3% – 4% 

ขอลดดอกเบี้ยบ้าน คืออะไร? ได้อัตราดอกเบี้ยประมาณเท่าไร?

การขอลดดอกเบี้ยบ้าน หรือที่เรียกกว่า “รีเทนชัน” (Retention) คือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมที่เรากำลังผ่อน ว่าหลังจากปีที่ 4 ที่อัตราดอกเบี้ยลอยตัวขึ้นไป จะขอลดอัตราดอกเบี้ยที่จะชำระได้หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารจะลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าชั้นดี (ไม่ผิดนัดชำระ ชำระไม่ขาด) อย่างไรก็ตาม วิธีขอลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมจะลดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่มากเท่ากับวิธีรีไฟแนนซ์บ้าน

อัตราดอกเบี้ยจากวิธีขอลดดอกเบี้ยหรือ Retention

จากปกติที่อัตราดอกเบี้ยหลัง 3 ปี แรก (เฉลี่ยราว 3%-4%) อัตราดอกเบี้ยจะลอยตัวขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเหลือราว -0.5% หรือ -1% จาก MRR (Minimum Retail Rate) หรือก็คือ เหลือราว 5% – 7%

เทคนิคขอลดดอกเบี้ยให้สำเร็จ 

การเตรียมตัวที่ดีและมีเทคนิคในการเจรจาต่อรองจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขอลดดอกเบี้ยบ้านให้ประสบความสำเร็จและได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดจากธนาคาร การสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีอย่างสม่ำเสมอคือรากฐานที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ธนาคารมองเห็นว่าคุณคือลูกค้าชั้นดีที่ควรค่าแก่การรักษาไว้

  • ติดต่อหลังผ่อนครบ 3 ปี  โดยทั่วไปสัญญาสินเชื่อบ้านมักจะกำหนดให้สามารถขอลดดอกเบี้ยได้หลังจากผ่อนชำระครบกำหนด 3 ปีแล้ว ดังนั้น ควรเริ่มตรวจสอบสัญญากู้ของตนเองและติดต่อธนาคารล่วงหน้าก่อนครบกำหนดเล็กน้อย เพื่อสอบถามถึงขั้นตอนและเตรียมการเจรจา การดำเนินการในช่วงเวลานี้จะทำให้คุณสามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างต่อเนื่องและไม่เสียโอกาสในการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลง
  • เตรียมข้อเสนอจากธนาคารคู่แข่ง ก่อนที่จะเข้าไปเจรจากับธนาคารเดิม ควรทำการศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์จากธนาคารอื่น ๆ อย่างน้อย 2-3 แห่ง การมีข้อมูลข้อเสนอที่ดีกว่าจากธนาคารคู่แข่งอยู่ในมือ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มอำนาจการต่อรองของคุณ ทำให้ธนาคารเดิมมีแนวโน้มที่จะยื่นข้อเสนอที่ดีขึ้นเพื่อรั้งคุณไว้เป็นลูกค้าต่อไป
  • ชำระตรงเวลาเพื่อสร้างเครดิต ประวัติการชำระหนี้ที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ธนาคารจะพิจารณา การชำระค่างวดตรงตามเวลาและครบถ้วนมาโดยตลอด แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของคุณ ซึ่งจะทำให้ธนาคารมองว่าคุณเป็นลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำและยินดีที่จะมอบข้อเสนอพิเศษหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ในระยะยาว

แล้วเลือกแบบไหนคุ้มกว่ากัน?

เมื่อเทียบกันว่า ระหว่าง รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน เฉพาะเรื่อง อัตราดอกเบี้ย ก็คือ วิธีรีไฟแนนซ์บ้านคุ้มกว่า 

แล้วรีไฟแนนซ์บ้านคุ้มกว่าขอลดดอกเบี้ยบ้านแค่ไหน ดูตัวอย่างด้านล่างนี้

สมมติว่า ปัจจุบันเหลือภาระหนี้ 2,000,000 บาท ถ้วน หลังจากผ่อนมาแล้ว 3 ปี (ระยะเวลาผ่อนที่เหลือ 27 ปี) โดยอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 7% ต้องชำระสินเชื่อบ้าน 15,100 บาท ต่อเดือน (คำนวณสินเชื่อได้ที่นี่)

  • กรณีขอลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม อย่างมากจะได้ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 5% ต่อปี จะมีภาระผ่อนชำระหนี้ 12,500 บาท ต่อเดือน (ลดลง 2,600 บาท)
  • กรณีขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ สมมติว่าได้อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกเฉลี่ย 3% จะมีภาระผ่อนชำระหนี้ในช่วง 3 ปีนั้น 10,200 บาท ต่อเดือน (ลดลง 4,900 บาท) 

สรุปก็คือ หากเปรียบเทียบ รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน แบบไหนคุ้มกว่ากัน ภายในช่วง 3 ปีแรก ที่ขอรีไฟแนนซ์หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย 

วิธีรีไฟแนนซ์ประหยัดจะประหยัดเงินได้ถึง 176,400 บาท [(15,100 x 36) – (10,200 x 36)] 

ส่วนวิธีขอลดดอกเบี้ยจะประหยัดได้ 93,600 บาท [(15,100 x 36) – (12,500 x 36)]

ดังนั้น รีไฟแนนซ์คุ้มค่ากว่าถึง 82,800 บาท (หรือเกือบหนึ่งแสนบาท)

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย รีไฟแนนซ์บ้าน vs ขอลดดอกเบี้ยธนาคารเดิม

เมื่อผ่อนบ้านครบ 3 ปี ถึงเวลาที่คุณต้องตัดสินใจเลือกระหว่างรีไฟแนนซ์กับขอลดดอกเบี้ย สองทางเลือกที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวสูงขึ้น การทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี จะช่วยให้คุณเลือกแนวทางที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับสถานการณ์ทางการเงินของคุณได้มากที่สุด

ข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้าน

  • ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง การรีไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งใหม่ จะนำเอายอดค้างชำระที่เหลือจากธนาคารเดิมมาคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง ช่วยให้จำนวนเงินผ่อนชำระถูกนำไปหักดอกเบี้ยลดลงและนำไปหักเงินต้นได้มากขึ้น 
  • สามารถเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ เช่น เปลี่ยนจากการกู้ร่วม เป็นกู้คนเดียวก็ได้ หรือจะเปลี่ยนฐานะผู้กู้ร่วม-ผู้กู้หลักก็ได้เหมือนกัน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะช่วยให้วางแผนจัดการภาระหนี้สินและการเงินของเราได้คล่องตัวมากขึ้น 
  • เลือกยืดระยะเวลาในการผ่อนได้ การขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ สามารถขอเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระเพิ่มได้ ซึ่งเมื่อจำนวนงวดเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยให้ยอดผ่อนบ้านต่องวดถูกลงได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้มากขึ้น

ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้าน

รีไฟแนนซ์แม้จะมีโอกาสได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แต่ก็มีเรื่องของการดำเนินการ เรื่องการยื่นเอกสาร และตรวจสอบเครดิตทางการเงินใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย ดังนั้น สำหรับคนที่เครดิตทางการเงินไม่ดีนัก เช่น ผู้ประกอบการ รายได้บางส่วนหายไป มีภาระหนี้สินอื่น ๆ เพิ่ม ก็อาจยื่นขอรีไฟแนนซ์ไม่ผ่าน

นอกจากนี้ การรีไฟแนนซ์จะดำเนินการเหมือนตอนยื่นขอสินเชื่อบ้านครั้งแรก จึงมีค่าใช้จ่ายในการยื่นเอกสาร ได้แก่

  • ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ (3,000 – 5,000 บาท)
  • ค่าจดจำนอง ณ กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้
  • ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้
  • ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าประกันอัคคีภัย ฯลฯ (ตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป)

ตารางสรุปข้อดี-ข้อเสียการรีไฟแนนซ์ (Refinance)

ข้อดีข้อเสีย
ดอกเบี้ยต่ำกว่าอย่างชัดเจนมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายสูง
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างสัญญาได้ต้องยื่นเอกสารและตรวจสอบเครดิตใหม่
ยืดระยะเวลาผ่อนได้ขั้นตอนยุ่งยากและใช้เวลา

ข้อดีของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้าน (Retention)

ข้อเสียของการรีไฟแนนซ์บ้าน

สำหรับการขอลดดอกเบี้ยบ้าน หรือ Retention แม้จะได้ลดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ารีไฟแนนซ์ แต่สำหรับใครที่ไม่อยากยุ่งยากเรื่องการยื่นเอกสาร หรือมีเครดิตการเงินในปัจจุบันไม่ดีเหมือนตอนขอกู้รอบแรก เช่น มีภาระหนี้สินเพิ่ม รายได้ลดลง ฯลฯ ก็ยังมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยได้ด้วยการขอ Retention

ข้อดีของการขอ Retention จากธนาคารเดิม 

  • ไม่มีการยื่นเอกสารใหม่
  • ไม่ต้องตรวจสอบเครดิตบูโร (Credit Bureau)
  • ค่าธรรมเนียมถูก (ไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้) หรือ ยกเว้นค่าธรรมเนียม

ข้อเสียของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้าน (Retention)

ข้อเสียข้อสำคัญของการขอลดอัตราดอกเบี้ยบ้านกับธนาคารเดิม (Retention) เมื่อเทียบกับการขอรีไฟแนนซ์ คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อย 

แม้ว่าการขอรีไฟแนนซ์จะมีค่าธรรมเนียมการยื่นเอกสารมากมาย แต่เมื่อคำนวณกับอัตราดอกเบี้ยที่ได้ลดลงแล้ว เพียงไม่กี่เดือนรีไฟแนนซ์ก็คุ้มกว่าแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังเหลือยอดผ่อนชำระอยู่ค่อนข้างมาก ตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการรีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน ก็ถือว่าเป็นอีกกระบวนการหนึ่งของคนที่ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน ต้องทำเพื่อให้ภาระผ่อนชำระสินเชื่อบ้านลดลง

ตารางสรุปข้อดี-ข้อเสียขอลดดอกเบี้ย (Retention)

ข้อดีข้อเสีย
ขั้นตอนง่าย สะดวก รวดเร็วดอกเบี้ยลดลงน้อยกว่ารีไฟแนนซ์
ไม่ต้องยื่นเอกสารใหม่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ได้
ค่าธรรมเนียมต่ำ หรือไม่มีความคุ้มค่าระยะยาวอาจน้อยกว่า

ประหยัดเงินได้เท่าไหร่ใน 3 ปี 

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ลองดูตัวอย่างคร่าว ๆ จากยอดหนี้บ้านคงเหลือ 2,000,000 บาท ในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ว่าระหว่างการปล่อยไปตามดอกเบี้ยลอยตัว การขอลดดอกเบี้ย (Retention) และการรีไฟแนนซ์ (Refinance) จะสร้างความแตกต่างของภาระดอกเบี้ยได้มากน้อยเพียงใด

กรณีอัตราดอกเบี้ย (เฉลี่ย 3 ปี)ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายใน 3 ปี (โดยประมาณ)ค่าธรรมเนียมประหยัดเงิน
1. ไม่ทำอะไรเลย  6.50%367,000 บาท
2. ขอลดดอกเบี้ย (Retention)5.25%299,000 บาทประมาณ 1,000 บาทประมาณ 67,000 บาท
3. รีไฟแนนซ์ (Refinance)3.20%185,000 บาทประมาณ 25,000 บาทประมาณ 157,000 บาท

ขั้นตอนการขอรีไฟแนนซ์ และขั้นตอนการขอลดดอกเบี้ย

การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้กระบวนการลดภาระดอกเบี้ยบ้านของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารใหม่ หรือขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมก็ตาม การเริ่มต้นศึกษาข้อมูลล่วงหน้าก่อนครบกำหนดสัญญา 3 ปี จะช่วยให้คุณมีเวลาในการตัดสินใจและเตรียมการได้ทันท่วงที

1. ขอรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance)

ขั้นตอนการขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารใหม่ จะมีวิธีการเหมือนกับตอนที่ไปดำเนินการขอสินเชื่อบ้านครั้งแรก ซึ่งจะต้องเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่าย ๆ ต่างให้ครบถ้วน 

  1. ตรวจสอบสัญญากู้เดิม ตรวจสอบสินเชื่อดูก่อนว่าถึงเวลาที่สามารถยื่นรีไฟแนนซ์ได้หรือยัง ซึ่งโดยทั่วไปธนาคารจะอนุญาตให้รีไฟแนนซ์หรือไถ่ถอนสินเชื่อเดิมได้เมื่อผ่อนชำระครบ 3 ปี แล้ว แต่สามารถเริ่มมองหาธนาคารที่จะรีไฟแนนซ์ก่อนถึงกำหนดชำระครบ 3 ปี ก่อนประมาณ 1-2 เดือน ได้ เพราะกระบวนการขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ
  2. เลือกธนาคารและโครงการสินเชื่อ เลือกดูโครงการสินเชื่อ โปรโมชัน จากธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า แนะนำว่า ให้คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี แรก หรือดูจากอัตราดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาว่าที่ไหนให้ได้คุ้มมากที่สุด
  3. เตรียมเอกสารใหม่เหมือนยื่นกู้สินเชื่อ ได้แก่ เอกสารส่วนตัว เอกสารทางการเงิน และเอกสารหลักประกันต่าง ๆ (รวมเอกสารยื่นสินเชื่อที่ต้องใช้ << ดูที่นี่)
  4. เตรียมค่าใช้จ่ายดำเนินการให้พร้อม ประมาณ 2% – 3% ของวงเงินกู้ ได้แก่
    • ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ (3,000 – 5,000 บาท)
    • ค่าจดจำนอง ณ กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้
    • ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้
    • ค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าประกันอัคคีภัย ฯลฯ (ตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป)
  5. ยื่นขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ หลังจากเตรียมเอกสารและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ พร้อมแล้ว ขั้นตอนที่เหลือก็คือ การยื่นรีไฟแนนซ์ ขั้นตอนโดยคร่าว ๆ ได้แก่
    • ทราบผลการอนุมัติรีไฟแนนซ์จากธนาคารแห่งใหม่
    • ติดต่อธนาคารเดิมเพื่อขอไถ่ถอนที่ดินและปิดบัญชีสินเชื่อเดิม
    • นัดธนาคารเดิมและธนาคารแห่งใหม่มาทำนิติกรรม
    • จดจำนองสินทรัพย์

ทั้งนี้ หากกังวลเกี่ยวกับขั้นตอนการยื่น สามารถติดต่อและสอบถามธนาคารแห่งใหม่ได้ ธนาคารจะคอยช่วยอำนวยความสะดวกและบอกขั้นตอนต่าง ๆ กับคุณ

2. ขอลดดอกเบี้ยบ้าน (Retention)

ขั้นตอนในการขอลดดอกเบี้ยบ้าน จริงๆ แล้ว สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงติดต่อทำเรื่องกับธนาคารเดิมโดยดูก่อนว่า ประวัติการชำระหนี้ของเราใกล้ครบ 3 ปี แล้วหรือยัง โดยธนาคารส่วนใหญ่จะอนุมัติการขอลดดอกเบี้ยให้เฉพาะลูกหนี้ชั้นดีเท่านั้น คือ ลูกหนี้ที่ชำระหนี้ตรงเวลา ไม่ผิดนัด อย่างน้อย 24 เดือน และต้องไม่อยู่ในระหว่างประนอมหนี้

ส่วนเอกสารที่อาจจะต้องเตรียม (บางธนาคารไม่ขอ) ได้แก่ 

  1. สัญญาเงินกู้
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. สำเนาบัตรประชาชน

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับดำเนินการ ไม่เกิน 1% ของวงเงินกู้

โดยระยะเวลาในการพิจารณาขอลดดอกเบี้ยจะอาจรวดเร็ว เพียง 7 วัน หรืออย่างช้าไม่เกิน 45 วัน เพราะธนาคารมีเอกสารและประวัติการชำระหนี้ของคุณอยู่ก่อนแล้ว และไม่ต้องดำเนินการประเมินสินทรัพย์ใหม่อีกรอบ ทำให้กระบวนการทั้งหมดทำได้อย่างรวดเร็ว

เลือกรีไฟแนนซ์บ้านหรือขอลดดอกเบี้ยธนาคารเดิมดี?

หากคุณกำลังผ่อนชำระหนี้บ้านได้เกือบครบหรือครบ 3 ปี แล้วถึงเวลาที่คุณจะเริ่มพิจารณาหาวิธีลดอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ปรับตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วิธีรีไฟแนนซ์บ้านธนาคารใหม่ หรือ ขอลดดอกเบี้ยบ้านจากธนาคารเดิม ช่วยลดภาระชำระหนี้ ให้คุณผ่อนบ้านได้หมดไวขึ้น 

ทั้งนี้ เรารู้แล้วว่า การรีไฟแนนซ์บ้านนั้นคุ้มค่ามากกว่า แต่จะเลือกวิธี รีไฟแนนซ์บ้าน vs ลดดอกเบี้ยบ้าน โดยสรุปแล้ว มี 2 ปัจจัยสิ่งที่ต้องพิจารณา

  1. ตรวจสอบเครดิตทางการเงิน ตรวจดูว่า เรายังมีเครดิตทางการเงินดีหรือไม่ รายได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหรือไม่ สัดส่วนภาระหนี้สินต่อรายได้เป็นอย่างไร ถ้าเครดิตการงานของเราปกติ การรีไฟแนนซ์ จะเหมาะกว่า แต่ถ้ามีหนี้อื่น ๆ เข้ามา ควรเลือกวิธีขอลดดอกเบี้ย หรือ Retention จะได้ไม่ถูกเช็กประวัติเครดิตบูโร (Credit Bureau) และการขอรีไฟแนนซ์มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านอนุมัติ
  2. ตรวจสอบภาระค่าใช้จ่าย ตรวจดูว่า การรีไฟแนนซ์มีค่าใช้จ่ายอะไรอะไรบ้าง คำนวณทั้งหมดแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการขอลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว วิธีการใดช่วยประหยัดได้มากกว่า ทั้งนี้ ถ้าเหลือหนี้หรือภาระที่ต้องผ่อนชำระมากกว่า 1,000,000 บาท แม้คำนวณค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายแล้ว การรีไฟแนนซ์ก็ช่วยประหยัดได้มากกว่า

แนะนำสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับ ธอส. 

ธอส. มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับการขอรีไฟแนนซ์บ้าน ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงและเลือกยืดระยะเวลาผ่อนได้สูงถึง 40 ปี ช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าผ่อนชำระบ้านได้แบบสบายกระเป๋า และยังผ่อนบ้านให้หมดไวยิ่งขึ้น

หากสนใจขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจาก ธอส. สามารถทำการกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำด้านสินเชื่อ และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับ >>> ได้ที่นี่

เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่คอยให้คำแนะนำ พร้อมเปรียบเทียบและหยิบยื่นข้อเสนอด้านสินเชื่อที่ดีที่สุดให้กับคุณ ติดต่อเราได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

G H BANK Call Center: 0-2645-9000

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
-

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก
เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก
เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ค้นหาตาม Keyword เช่น การเงิน, การลงทุน, สินเชื่อ, บ้าน