กู้ร่วมซื้อบ้าน คือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตกลงทำสัญญากู้เงินก้อนเดียวกันกับสถาบันการเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้กู้ร่วมทุกคนจะมีสถานะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน และต้องรับผิดชอบภาระหนี้สินตามเงื่อนไขของธนาคาร ซึ่งการกู้ร่วมนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการอนุมัติวงเงินกู้ที่สูงขึ้น
สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านกับใครได้บ้าง
กู้ร่วมซื้อบ้านสามารถทำได้กับบุคคลที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ซึ่งสถาบันการเงินส่วนใหญ่ยอมรับความสัมพันธ์หลายรูปแบบ แต่ทั้งนี้ผู้กู้ร่วมทุกคนต้องมีคุณสมบัติตามที่ธนาคารกำหนด และสามารถยืนยันความสัมพันธ์ได้ด้วยเอกสารหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
คู่สมรส (สามี-ภรรยา)
คู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถือเป็นกลุ่มที่กู้ร่วมได้ง่ายที่สุด มีสิทธิพิเศษหลายด้าน เช่น ได้รับการพิจารณาวงเงินสูงขึ้น หรือมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากบางธนาคาร
พ่อแม่-ลูก
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรงเป็นที่ยอมรับจากทุกสถาบันการเงิน ทำให้พ่อแม่สามารถกู้ร่วมกับลูกได้ โดยเฉพาะกรณีที่ลูกมีรายได้ไม่เพียงพอหรือมีประวัติเครดิตน้อย
พี่น้อง
พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาสามารถเป็นผู้กู้ร่วมได้ แม้จะใช้นามสกุลต่างกัน แต่ต้องมีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตร หรือทะเบียนบ้านที่แสดงความเกี่ยวข้อง
ญาติสนิท
ญาติที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น ลุง ป้า น้า อา ก็สามารถเป็นผู้กู้ร่วมได้ แต่อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ซึ่งต้องมีเอกสารยืนยันความสัมพันธ์อย่างชัดเจน
เพื่อนสนิท
บางธนาคารอนุญาตให้เพื่อนสนิทกู้ร่วมกันได้ โดยต้องแสดงหลักฐานความสัมพันธ์ เช่น การอาศัยอยู่ร่วมกัน หรือการทำธุรกิจร่วมกันมาระยะหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละสถาบันการเงิน
คู่รัก LGBTQ+
ปัจจุบันหลายธนาคารเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมได้ โดยต้องแสดงหลักฐานการอยู่ร่วมกัน เช่น ทะเบียนบ้านเดียวกัน หรือมีทรัพย์สินร่วมกันที่สามารถพิสูจน์ได้
การกู้ร่วมสำหรับ LGBTQ+
ในปัจจุบัน หลายธนาคารในประเทศไทยเปิดโอกาสให้คู่รัก LGBTQ+ สามารถกู้ร่วมซื้อบ้านได้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมทางการเงินและที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่แตกต่างจากคู่สมรสตามกฎหมาย เช่น
- ต้องมีเอกสารรับรองการอยู่อาศัยร่วมกัน อาจต้องแสดงหลักฐานการอยู่ร่วมกันเป็นระยะเวลานาน เช่น ทะเบียนบ้านที่อยู่ร่วมกัน สัญญาเช่าที่พักร่วมกัน หรือเอกสารอื่น ๆ ที่แสดงการใช้ชีวิตร่วมกัน
- อาจมีข้อจำกัดในวงเงินกู้ บางธนาคารอาจจำกัดวงเงินกู้สูงสุดที่ 90-95% ของราคาบ้าน ซึ่งอาจน้อยกว่าเงื่อนไขสำหรับคู่สมรสตามกฎหมาย
- ต้องแสดงหลักฐานความสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว อาจต้องมีพยานหรือเอกสารยืนยันความสัมพันธ์ระยะยาว
- อาจต้องทำประกันชีวิตคู่ เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต
- อาจมีการพิจารณาเครดิตและรายได้อย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ
ทั้งนี้ เงื่อนไขอาจแตกต่างกันไปในแต่ละธนาคาร และอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นคู่รัก LGBTQ+ ที่สนใจกู้ร่วมซื้อบ้านควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากธนาคารที่ต้องการยื่นกู้โดยตรง และอาจต้องเตรียมเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติมมากกว่าคู่สมรสทั่วไป
ข้อดีของการกู้ร่วมซื้อบ้าน
กู้ร่วมซื้อบ้านมีข้อดีมากมายที่ช่วยให้การเป็นเจ้าของบ้านเป็นไปได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อที่สูงขึ้น เนื่องจากมีผู้รับผิดชอบร่วมกันมากกว่าหนึ่งคน นอกจากนี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงในกรณีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งประสบปัญหาทางการเงิน อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนชำระรายเดือน
เรื่องที่ควรรู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน
ถึงแม้ว่าการกู้ร่วมกับบุคคลอื่นจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการยื่นขอสินเชื่อ แต่การกู้ร่วมอาจไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะเมื่อไหร่ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะกู้ร่วม ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลตามมาได้ในอนาคต โดยเรื่องที่ควรรู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน ได้แก่
การใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์
การกู้ร่วมซื้อบ้านมีทางเลือกในการใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ 2 แบบ ได้แก่
- ใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียว วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับกรณีที่ผู้กู้ร่วมฝ่ายหนึ่งต้องการเป็นเจ้าของบ้านแต่เพียงผู้เดียว โดยอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ช่วยผ่อนชำระ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจมีความเสี่ยงสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีชื่อในกรรมสิทธิ์ เนื่องจากไม่มีสิทธิ์ตามกฎหมายในทรัพย์สินนั้น
- ใส่ชื่อผู้กู้ร่วมทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ วิธีนี้เป็นที่นิยมมากกว่า เนื่องจากมีความเป็นธรรมกับผู้กู้ร่วมทุกคน โดยสามารถระบุสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ตามที่ตกลงกัน เช่น 50-50 หรือ 60-40 เป็นต้น
การตัดสินใจเรื่องการใส่ชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์มีผลต่อสิทธิและความรับผิดชอบในทรัพย์สิน รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี ดังนั้นควรพิจารณาอย่างรอบคอบและตกลงกันให้ชัดเจนก่อนทำสัญญากู้ร่วม
การกู้ร่วมไม่ได้หมายความว่าต้องชำระหนี้เท่ากัน!
การกู้ร่วมไม่ได้หมายความว่าผู้กู้ทุกคนต้องรับผิดชอบชำระหนี้ในสัดส่วนที่เท่ากัน ผู้กู้สามารถตกลงกันเองว่าใครจะรับผิดชอบชำระในสัดส่วนเท่าใด แต่ในทางกฎหมาย ธนาคารมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้กู้คนใดคนหนึ่งรับผิดชอบหนี้ทั้งหมดได้ หากมีการผิดนัดชำระ ดังนั้นควรมีข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างผู้กู้ร่วมทุกคน
หากผู้กู้ร่วมถึงแก่กรรม
ในกรณีที่ผู้กู้ร่วมคนหนึ่งเสียชีวิต จะเกิดผลกระทบต่อสัญญากู้ร่วมดังนี้
- ผู้กู้ร่วมที่เหลือต้องรีบแจ้งธนาคารทันทีเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงสัญญา
- ภาระหนี้ที่เหลือจะตกเป็นของผู้กู้ร่วมที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอาจมีทางเลือกในการรับภาระหนี้ต่อทั้งหมดด้วยตนเอง ขอปรับโครงสร้างหนี้หรือรีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระการผ่อนชำระ หรือให้ทายาทของผู้เสียชีวิตเข้ามารับช่วงการกู้ร่วมแทน (ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคาร)
- หากผู้กู้ร่วมที่เสียชีวิตมีชื่อในกรรมสิทธิ์บ้าน จะต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายมรดก
เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต ผู้กู้ร่วมควรพิจารณาทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ เพื่อให้ประกันเป็นผู้รับผิดชอบชำระหนี้ที่เหลือในกรณีที่ผู้กู้ร่วมคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต
การกู้ร่วมกับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี
การกู้ร่วมซื้อบ้านมีผลต่อสิทธิ์การลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน โดยทั่วไปแล้วมีเงื่อนไข ดังนี้
- ผู้กู้เดี่ยวสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี
- ผู้กู้ร่วม 2 คน จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนคนละ 50,000 บาท
- ผู้กู้ร่วม 3 คน จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนคนละ 33,333.33 บาท
อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนภาษีจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วย เช่น หากผู้กู้ร่วม 2 คนถือครองกรรมสิทธิ์ในสัดส่วน 60-40 สิทธิ์ลดหย่อนภาษีก็จะเป็นไปตามสัดส่วนนี้ด้วย นอกจากนี้ ควรทราบว่าการลดหย่อนภาษีนี้ใช้ได้เฉพาะกรณีซื้อบ้านหลังแรกเท่านั้น หากเป็นบ้านหลังที่สองขึ้นไปจะไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้
ข้อควรระวังในการกู้ร่วม
แม้ว่าการกู้ร่วมซื้อบ้านจะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ผู้กู้ร่วมต้องควรระวัง ได้แก่
- ความรับผิดชอบร่วมกันต่อหนี้ หากผู้กู้ร่วมคนใดคนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้กู้คนอื่นต้องรับผิดชอบแทน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินอย่างรุนแรง
- ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ปัญหาทางการเงินอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้กู้ร่วม โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นคู่สมรสหรือคู่รัก
- ข้อจำกัดในการกู้ครั้งต่อไป การมีภาระหนี้จากการกู้ร่วมอาจส่งผลต่อความสามารถในการกู้เงินครั้งต่อไปของแต่ละบุคคล เนื่องจากสถาบันการเงินจะพิจารณาภาระหนี้ทั้งหมดที่มีอยู่
- ความยุ่งยากในการยกเลิกสัญญา หากต้องการยกเลิกการกู้ร่วมในภายหลัง อาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น การรีไฟแนนซ์หรือการขายบ้าน
- ความเสี่ยงในกรณีหย่าร้างหรือแยกทาง สำหรับคู่สมรสหรือคู่รัก หากเกิดการหย่าร้างหรือแยกทาง อาจเกิดปัญหาในการแบ่งทรัพย์สินและภาระหนี้
- ผลกระทบต่อเครดิตบูโร หากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของฝ่ายใด ก็จะส่งผลกระทบต่อเครดิตบูโรของผู้กู้ร่วมทุกคน
เอกสารที่ต้องใช้สำหรับการกู้ร่วม
สำหรับการกู้ร่วมซื้อบ้านเป็นการยื่นขอสินเชื่อ หรือกู้เงินร่วมกับบุคคลอื่น เพื่อทำให้สถาบันการเงินหรือธนาคารเกิดความมั่นใจและอนุมัติการยื่นขอสินเชื่อในครั้งนี้ ดังนั้น เรื่องของการเตรียมเอกสารที่ต้องใช้สำหรับการกู้ร่วมจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายขึ้น
เอกสารหลักประกัน
- สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน
- สำเนาโฉนดที่ดิน หรือสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (กรณีซื้อคอนโด)
- แบบแปลนบ้าน (กรณีบ้านสร้างใหม่)
เอกสารเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงทรัพย์สินที่จะใช้เป็นหลักประกันในการกู้ ธนาคารจะใช้เอกสารเหล่านี้ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและกำหนดวงเงินกู้
เอกสารส่วนตัว
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้กู้ร่วมทุกคน
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้กู้ร่วมทุกคน
- สำเนาทะเบียนสมรส ทะเบียนหย่า หรือใบมรณบัตร (ถ้ามี)
- เอกสารการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)
- เอกสารยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างผู้กู้ร่วม (กรณีไม่ใช่คู่สมรส)
เอกสารส่วนตัวเหล่านี้ใช้ยืนยันตัวตนของผู้กู้ร่วมและแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ
เอกสารการเงิน
- หนังสือรับรองเงินเดือนหรือสลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3-6 เดือนของผู้กู้ร่วมทุกคน
- สำเนาบัญชีเงินฝากธนาคารย้อนหลัง 6-12 เดือน
- เอกสารแสดงรายได้อื่น ๆ (ถ้ามี) เช่น สัญญาเช่า หลักฐานการลงทุน
- เอกสารแสดงภาระหนี้สินอื่น ๆ (ถ้ามี)
- แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90 หรือ 91)
เอกสารการเงินเหล่านี้ใช้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ร่วม ธนาคารจะใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการคำนวณอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR) และกำหนดวงเงินกู้ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ธนาคารอาจขอเอกสารเพิ่มเติมตามแต่กรณี เช่น
- หนังสือยินยอมให้ตรวจสอบข้อมูลเครดิต
- สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (กรณีประกอบอาชีพอิสระ)
- งบการเงินย้อนหลัง 2-3 ปี (กรณีเจ้าของกิจการ)
ผู้กู้ร่วมควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อและลดระยะเวลาในการพิจารณา
คุณสมบัติในการกู้ร่วม
ผู้ที่จะกู้ร่วมซื้อบ้านควรมีคุณสมบัติดังนี้
- มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปีเมื่อสิ้นสุดสัญญากู้
- มีรายได้ประจำที่มั่นคง สามารถตรวจสอบได้
- มีประวัติเครดิตที่ดี ไม่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้
- มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ได้ตลอดอายุสัญญา
- มีความสัมพันธ์กับผู้กู้หลักตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการกู้ร่วม
กู้ร่วมสูงสุดได้กี่คน
โดยทั่วไปธนาคารอนุญาตให้กู้ร่วมได้สูงสุด 3-4 คน (รวมผู้กู้หลัก) ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร แต่ส่วนใหญ่นิยมกู้ร่วมกัน 2 คน เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ
หลักเกณฑ์การกู้ร่วมมีอะไรบ้าง
หลักเกณฑ์หลักคือความสัมพันธ์ทางครอบครัวหรือความสัมพันธ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ความสามารถในการชำระหนี้ และประวัติเครดิตที่ดีของผู้กู้ร่วมทุกคน ซึ่งแต่ละธนาคารอาจมีเงื่อนไขเฉพาะเพิ่มเติม
ธนาคารเช็กประวัติผู้กู้ร่วมหรือไม่
ธนาคารจะตรวจสอบประวัติเครดิตของผู้กู้ร่วมทุกคนอย่างละเอียด รวมถึงภาระหนี้สินและความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้นผู้กู้ทุกคนควรมีประวัติทางการเงินที่ดี
สรุปเรื่องการกู้ร่วมซื้อบ้าน
กู้ร่วมซื้อบ้านเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อหรือวงเงินที่สูงขึ้น แต่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและตกลงเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
หากคุณกำลังตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน และมองหาธนาคารที่มีสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ ธอส. พร้อมให้คำปรึกษา เราเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ มีแนวทางการกู้ที่เหมาะสมสำหรับคนทุกกลุ่มเพื่อการมีบ้านในฝันของคุณ