สำหรับการกู้ซื้อบ้านแล้ว นอกจากเรื่องของดอกเบี้ยที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้กู้ต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกเบี้ย MRR ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับสินเชื่อบ้าน บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับดอกเบี้ย MRR คืออะไร อย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินในการกู้ซื้อบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความรู้จักดอกเบี้ย MRR คืออะไร
ดอกเบี้ย MRR ย่อมาจาก Minimum Retail Rate หรือในภาษาไทยคือ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี โดยดอกเบี้ย MRR มีลักษณะเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาดการเงินและนโยบายของแต่ละธนาคาร การเปลี่ยนแปลงของ MRR มักจะสอดคล้องกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในอัตราที่เท่ากันเสมอไป
ในการกำหนดอัตรา MRR ทางธนาคารจะพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ต้นทุนเงินทุนของธนาคาร ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สภาพคล่องในตลาดการเงิน และการแข่งขันในอุตสาหกรรมธนาคาร จึงทำให้อัตรา MRR ของแต่ละธนาคารมีความแตกต่างกันได้
ตัวอย่างการคิดดอกเบี้ย MRR ในสินเชื่อบ้าน สมมติว่าธนาคาร A มี MRR อยู่ที่ 6.5% และเสนอสินเชื่อบ้านในอัตรา MRR-1% เป็นระยะเวลา 3 ปีแรก หลังจากนั้นจะปรับเป็น MRR-0.5% ตลอดอายุสัญญาที่เหลือ ดังนั้น ในช่วง 3 ปีแรก ลูกค้าจะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 5.5% (6.5% – 1%) และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 6% (6.5% – 0.5%) หากอัตรา MRR ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดอกเบี้ย MRR สำคัญอย่างไรต่อการกู้ซื้อบ้าน
ดอกเบี้ย MRR มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่กำลังวางแผนกู้ซื้อบ้าน ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งเรื่องผลกระทบต่อค่างวด เพราะการเปลี่ยนแปลงของ MRR จะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวด การวางแผนการเงินระยะยาวเนื่องจาก MRR เป็นอัตราลอยตัว ผู้กู้จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการประหยัดดอกเบี้ย เพราะถ้าหาก MRR ลดลง ผู้กู้อาจมีโอกาสจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงและตัดเงินต้นได้มากขึ้น รวมทั้งการเข้าใจกลไกของ MRR จะช่วยให้ผู้กู้สามารถประเมินความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาวได้ดีขึ้น
ดอกเบี้ย MRR แตกต่างจากดอกเบี้ยชนิดอื่นอย่างไร
สำหรับคำศัพท์ในวงการธนาคาร นอกจากดอกเบี้ย MRR แล้ว ยังมีอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอื่น ๆ ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอกเบี้ย MLR และดอกเบี้ย MOR ซึ่งมีความแตกต่างจากดอกเบี้ย MRR ดังนี้
ดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate)
MLR หรือ Minimum Loan Rate คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าธนาคารชั้นดี MLR มักจะต่ำกว่า MRR เนื่องจากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่มักจะมีความเสี่ยงต่ำกว่าลูกค้ารายย่อย และมีอำนาจต่อรองมากกว่า โดยความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ย MRR และดอกเบี้ย MLR คือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย MRR ใช้สำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี เช่น ผู้กู้ซื้อบ้าน ในขณะที่ MLR ใช้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ลูกค้าธุรกิจ นอกจากนี้ สินเชื่อที่อ้างอิง MLR มักจะมีวงเงินที่สูงกว่าและมีระยะเวลาการกู้ที่ยาวกว่าสินเชื่อที่อ้างอิง MRR
ดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate)
MOR หรือ Minimum Overdraft Rate คืออัตราดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีขั้นต่ำ MOR มักจะสูงกว่าทั้ง MRR และ MLR เนื่องจากสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีมีความเสี่ยงสูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น โดยความแตกต่างระหว่าง MRR และ MOR คือลักษณะของสินเชื่อ MRR ใช้กับสินเชื่อระยะยาวที่มีกำหนดการชำระคืนที่แน่นอน เช่น สินเชื่อบ้าน ในขณะที่ MOR ใช้กับวงเงินเบิกเกินบัญชีซึ่งมีลักษณะเป็นสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น
วิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้
การเข้าใจวิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณากู้ซื้อบ้าน โดยทั่วไปแล้วมีวิธีคิดดอกเบี้ยหลัก ๆ 2 แบบ ได้แก่ ดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate) และดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
1. ดอกเบี้ยเงินกู้แบบเงินต้นคงที่ (Flat Rate)
วิธีนี้คำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นทั้งก้อนตั้งแต่เริ่มทำสัญญา โดยไม่คำนึงถึงการลดลงของเงินต้นในแต่ละงวด นิยมใช้กับสินเชื่อระยะสั้น เช่น สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ไม่นิยมใช้กับสินเชื่อบ้าน
การคำนวณดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่ทำได้โดยใช้สูตรนี้
ดอกเบี้ยรวม = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนปี
ดอกเบี้ยต่องวด = ดอกเบี้ยรวม / จำนวนงวดทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น หากกู้เงิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี
ดอกเบี้ยรวม = 1,000,000 x 5% x 5 = 250,000 บาท
ดอกเบี้ยต่องวด (เดือน) = 250,000 / (5 x 12) = 4,166.67 บาท
2. ดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective Rate)
วิธีนี้คำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเรื่อย ๆ ตามจำนวนเงินต้นที่ลดลง วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้กับสินเชื่อบ้านเนื่องจากเป็นธรรมกับผู้กู้มากกว่า
การคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกทำได้โดยใช้สูตรนี้
ดอกเบี้ยต่องวด = (เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด) / 365
ตัวอย่างเช่น หากกู้เงิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลา 20 ปี
งวดแรก: ดอกเบี้ย = (1,000,000 x 5% x 30) / 365 = 4,109.59 บาท
งวดถัดไปจะคำนวณจากเงินต้นคงเหลือหลังหักเงินต้นที่ชำระในงวดก่อนหน้า
สรุปดอกเบี้ย MRR คืออะไร
สุดท้ายนี้ ดอกเบี้ย MRR เป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาสินเชื่อบ้าน ถึงแม้จะมีความไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นอัตราลอยตัว แต่ก็มีข้อดีในแง่ของโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การทำความเข้าใจกับกลไกของ MRR และวางแผนการเงินอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณสามารถบริหารสินเชื่อบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าของบ้านในระยะยาว
สำหรับใครที่กำลังต้องการขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีสินเชื่อที่หลากหลาย เพื่อออกแบบมาให้เหมาะสมกับเงื่อนไขของทุกคน พร้อมเปิดกว้างให้กับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหลากหลายกลุ่ม
หากคุณสนใจขอสินเชื่อบ้านจาก ธอส. สามารถทำการกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำด้านสินเชื่อ และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับ >>> ได้ที่นี่
หรือสามารถติดต่อได้ที่ ธฮส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และ G H Bank Call Center : 0-2645-9000