คุณคิดว่าคุณจะใช้ชีวิตหลังเกษียณไปอีกกี่ปี แล้วคุณอยากใช้ชีวิตแบบไหน ที่สำคัญ ต้องใช้เงินเท่าไร?
หากคุณสามารถตอบคำถามข้างต้นได้ คงไม่น่าเป็นห่วง เพราะคำถามเหล่านี้ คือ จุดเริ่มต้นในการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ คุณรู้เป้าหมายแล้ว รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ลูกหลานก็ยิ้มแป้น ไม่ต้องห่วงคุณมาก …แต่กลับกัน หากคุณยังไม่สามารถตอบคำถามข้างต้นได้ ชีวิตหลังเกษียณของคุณก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
ทำไมเราถึงควรรีบวางแผนชีวิตหลังเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ
แน่นอนว่า ยิ่งเราอายุมากขึ้นๆ ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นตามมาเช่นกัน ทั้งภาระผ่อนหนี้สิน ค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลคนในครอบครัว และที่สำคัญ คือ เมื่อถึงวัยที่ร่างกายโรยรา ค่ารักษาพยาบาลก็ค่อนข้างสูง ดังนั้น ยิ่งอายุมากขึ้น เราจึงควรหาเงินได้มากขึ้น แต่ก็ด้วยร่างกายที่โรยราเช่นกัน ที่ทำให้เราไม่สามารถหารายได้ได้มากเท่าเดิ
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณเราจึงต้องวางแผนการเงิน
เราควรมีเงินเท่าไรสำหรับชีวิตหลังเกษียณ
โดยทั่วไปแล้ว กล่าวกันว่า เมื่อเกษียณ ค่าใช้จ่ายของเราจะเหลือ 70% ของค่าใช้จ่ายปีสุดท้ายก่อนเกษียณ นั่นเพราะว่า เมื่อเราไม่ต้องไปทำงานแล้ว ค่าใช้จ่ายจำพวกค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายเมื่อออกสังคม หรือภาระผ่อนสินทรัพย์ลดลง
อย่างไรก็ตาม ก็มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมามากๆ เช่นกัน
- ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นมา รวมทั้ง ค่าประกันต่างๆ ด้วย
- ค่าท่องเที่ยว เพราะการมีเวลามากขึ้น หลายๆ คนก็ฝันอยากจะไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ ก่อนที่จะไม่มีแรง
- ค่าบำรุงรักษาสินทรัพย์ เพราะนอกจากร่างกายของเราจะโรยราแล้ว สินทรัพย์อย่างรถและบ้านก็เสื่อมโทรมลงเช่นกัน
ให้คุณลองคำนวณดูว่า ค่าใช้จ่ายข้างต้นเมื่อรวมกันแล้วจะคิดเป็นค่าใช้จ่ายเท่าไรต่อปี แล้วนำมาคูณด้วยจำนวนปีที่คุณคาดว่าจะใช้ชีวิต
สูตรคำนวณเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ
ยกตัวอย่างเช่น 300,000 บาท x 30 ปี = 9,000,000 บาท
ทั้งนี้ แค่จำนวนเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณยังไม่พอ เพราะอย่าลืมว่า แต่ละปีที่ผ่านพ้นไป มูลค่าของเงินก็ลดลงด้วย นั่นคือ “เงินเฟ้อ” ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3% อย่างไม่หยุดยั้ง เงิน 40 บาท ที่อาจเคยซื้อ ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยที่เคยซื้อชามละ 40 บาท ในอีก 10 ปีข้างหน้า อาจมีราคาสูงถึง 100 บาท ได้
เมื่อต้องการคำนวณว่าควรจะมีเงินเพียงพอสำหรับเกษียณวัยเกษียณเท่าไร จึงต้องคำนวณภาวะเงินเฟ้อด้วย
สูตรคำนวนเงินเฟ้อ (จำนวนเงินในอนาคตที่เทียบเท่ามูลค่าเงินในปัจจุบัน)
ยกตัวอย่างเช่น จำนวนเงินในอนาคตที่เทียบเท่ามูลค่าเงินในปัจจุบัน = 300,000 (1+0.03)^1 ปี
∴ จำนวนเงินในอนาคตที่เทียบเท่ามูลค่าเงินในปัจจุบัน = 309,000 บาท
เมื่อคำนวณจำนวนเงินต้นที่ใช้ 300,000 บาท ในแต่ละปี กับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นปีละ 3% แบบปีต่อปี หากตั้งใจใช้ชีวิตหลังเกษียณ 30 ปี จะต้องมีเงินมากถึง 14,700,000 บาท (ซึ่งมากกว่าเดิมถึง 5,000,000 บาท!)
(ข้อมูลส่วนนี้ นำไปคำนวณใน excel โดยคำนวนเงิน 3 แสน * 3% และทบรวม 30 ปี)
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงต้องรีบวางแผนเก็บเงินสำหรับชีวิตวัยเกษียณ เพราะยิ่งมีเวลามากเท่าไร เราก็สามารถเก็บได้มากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญคือ ไม่บีบคั้นเรามากด้วย
วางแผนเพื่อชีวิตหลังเกษียณที่เป็นสุขใน 3 ขั้นตอน
1.สำรวจตัวเอง
ก่อนที่จะเริ่มต้นวางแผน ก็มีสิ่งที่เราต้องมาสำรวจกันก่อนว่า ตอนนี้เราอยู่จุดไหน มีตัวช่วยอะไรบ้าง และสิ่งที่ควรเตรียมให้พร้อม คุณพร้อมแล้วหรือยัง เพื่อจะได้มาแปรเป็นเป้าหมายและวางแผนการเก็บเงินต่อไป
สิ่งที่ต้องสำรวจก่อนวางแผนการเงินหลังเกษียณ มีดังต่อไปนี้
รายรับรายจ่าย
การบันทึกรายรับ-รายจ่าย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ ไม่ว่าคุณจะไปอ่านบทความการเงินหรือลงเรียนคอร์สการเงิน สิ่งนี้คือเรื่องพื้นฐาน เช่นเดียวกับการวางแผนเกษียณ เราต้องรู้ว่าค่าใช้จ่ายของเรามีอะไรบ้าง และสรุปแล้ว แต่ละปีจะใช้จ่ายเท่าไร เพื่อจะได้นำมาคูณกับจำนวนปีที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
ภาระหนี้สิน
ภาระหนี้สินก็เป็นรายจ่ายสำคัญที่ควรรีบสะสางให้หมดโดยเฉพาะหนี้เสีย (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ผ่อนรถยนต์) เพื่อที่เราจะสามารถแบ่งส่วนรายได้ไปชำระหนี้สินระยะยาว (เช่น สินเชื่อบ้าน) และแบ่งเก็บเงินสำหรับเกษียณได้มากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องนำเข้ามาไว้ในแผนการเงินหลังเกษียณด้วย
รายได้ที่จะได้หลังจากเกษียณ
ให้สำรวจว่า เมื่อเกษียณแล้วคุณจะมีรายได้จากทางใดได้บ้าง เช่น เงินบำเหน็จ-บำนาญ (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (สำหรับพนักงานเอกชนบางที่) หรือกองทุน LTF/RMF เพื่อที่จะได้ทราบว่าตกลงแล้ว เมื่อเกษียณจะมีเงินต้น ณ ตอนนั้น ประมาณเท่าไร
ประกัน
สำรวจดูว่าขณะนี้ เรามีประกันตัวใดที่คุ้มครองเราอยู่บ้าง โดยเฉพาะประกันชีวิตและประกันสุขภาพ แล้วประกันเหล่านั้น คาดว่าคุ้มครองได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในวันที่เราอาจไม่มีรายได้จากงานประจำแล้วหรือไม่ หากคุณใกล้เกษียณในอีก 10 – 15 ปี อาจเริ่มพิจารณาเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในวันที่ไม่ได้มีรายได้เท่าเดิมแล้ว
2.กำหนดเป้าหมายและวางแผนการเงิน
เมื่อรู้รายจ่ายจากการติดตามและบันทึกการใช้จ่ายของเราแล้ว เราก็จะสามารถประเมินได้ว่า 70% ของรายได้ปัจจุบันสำหรับใช้ในอนาคตคือเท่าไร ก็ให้ยึดจำนวนเงินนี้เป็นเป้าหมายเก็บเงินเกษียณ
ตัวอย่างสมมติจากตัวอย่างในพาร์ทแรก
1.ใช้เงินราว 300,000 ต่อปี (70% ของรายจ่ายปัจจุบัน)
2.เริ่มเก็บเงินเกษียณเมื่ออายุ 25 ปี
3.ตั้งใจเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี
4.คาดว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณถึง 90 ปี หรือใช้ชีวิตเกษียณ 30 ปี
ดังนั้น จะต้องเก็บเงินเกษียณ 14,000,000 บาท เป็นเวลา 35 ปี เฉลี่ยต้องเก็บเงินราว 400,000 บาท ต่อปีหรือราว 30,000 บาท ต่อเดือน (โดยทั่วไปเงินเดือนจะปรับขึ้น 5% ต่อปี ด้วยเช่นกัน) เมื่อพิจารณาดูแล้วถ้ามากไป ก็ให้ลองลดค่าใช้จ่ายที่คาดว่าน่าจะใช้ลง และลดขนาดของเป้าหมายลง เช่นลดเหลือ 10,000,000 บาท ก็จะเหลือปีละประมาณ 285,000 บาท
จะเห็นแล้วว่า เงินที่จะต้องเก็บเฉลี่ยต่อปีค่อนข้างสูง ดังนั้นลำพังการเก็บออมโดยการฝากประจำหรือฝากออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยไม่ถึง 3% ต่อปี ไม่เพียงพอ
เราควรจะต้องจัดสรรเงินเพื่อเก็บออมในรูปแบบอื่นๆ เพื่อเป็นการลงทุนให้เงินเพิ่มมูลค่าในข้อต่อไป
3.วางแผนเก็บออมและลงทุน
แผนการเก็บออมและการลงทุนสำหรับชีวิตหลังเกษียณนั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างรายได้อย่างจริงจัง แต่คือการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตบั่นปลาย ดังนั้น แผนการออมและลงทุนไม่ควรมีความเสี่ยงสูง
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนเพื่อชีวิตหลังเกษียณที่เหมาะสม
ที่มาพอร์ตลงทุน: www.set.or.th
1.ผลิตภัณฑ์เงินฝาก 35% เพื่อสมดุลความมั่นคงของพอร์ตการลงทุน แนะนำให้ออมในเงินฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูงและมีเงื่อนไขในการถอน เพื่อให้เราสามารถเก็บเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณได้จริง
2.หุ้นและกองทุนรวมหุ้น 15% เพื่อเป็นส่วนที่ใช้เร่งมูลค่าของเงินให้เติบโตขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ย 10 – 12%
3.ตราสารหนี้ 50% เพื่อเป็นอีกทางที่สร้างผลตอบแทนให้ได้ แต่ความเสี่ยงต่ำมาก แนะนำให้แบ่งเงินเพื่อนำไปซื้อตราสารหนี้รัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีความมั่นคงระยะ 10 ปี ขึ้นไป เท่านี้เงินก้อนสำหรับชีวิตวัยเกษียณของเราก็จะโตวันโตคืน
และนอกจากแผนพอร์ตการออมและการลงทุนข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีเก็บออมเงินที่ทำให้เงินเก็บเกษียณเติบโตขึ้น และถึงเป้าหมายได้ นั่นคือ การสร้าง “Passive income”
สร้าง Passive Income ให้ชีวิตหลังเกษียณด้วยอสังหาริมทรัพย์
นอกจากการเก็บหอมรอมริบเม็ดเงินในแต่ละเดือนแล้ว ขอแนะนำว่าให้คุณเปิดก๊อก Passive income ให้เงินไหลเข้ามาเอง ด้วยการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็มีอยู่หลักๆ ด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่
- ลงทุนทำบ้านเช่า
- ลงทุนบ้านมือสอง
- ลงทุนทำอพาร์ทเม้นท์/ห้องเช่า
วิธีการนี้ สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ช่วงที่ทำงานและเริ่มมีเสถียรภาพทางการเงิน และสามารถกู้เงินธนาคารได้ ด้วยการลงทุนแบบ OPM: Other people’s money ทำให้เราสามารถสร้างรายได้ได้ทันที เพียงกู้สินเชื่อบ้าน มาทำบ้านเช่า ห้องเช่า ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่า หรือปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อปล่อยเช่า โดยให้สินทรัพย์เหล่านี้สร้างผลตอบแทนให้สูงกว่ายอดผ่อน
…และเมื่อผ่อนหมด อสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไว้ก็จะให้ดอกผลเราแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องห่วงว่าจะขาดรายได้ในวัยเกษียณ
สรุป
เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงวัยเกษียณได้ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมเพื่อจะมีชีวิตหลังเกษียณที่เป็นสุขได้
หัวใจสำคัญสำหรับการเก็บเงินเกษียณ คือ การเริ่มต้นให้เร็ว เพราะยิ่งเก็บเงินเร็วเท่าไร เราก็ยังไม่ลำบาก อีกทั้ง ยิ่งเริ่มเร็ว ก็จะยิ่งรู้แนวทางในการปรับเปลี่ยนแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ถึงตรงนี้ ภาพชีวิตหลังเกษียณของคุณก็คงจะชัดเจนขึ้นแล้ว