สำหรับคนที่มุ่งมั่นอยากจะมีบ้าน มักจะเริ่มต้นความฝันด้วยการเก็บออม เพราะบ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาสูงและอาจสูงที่สุดตลอดชีวิตที่คนคนหนึ่งจะได้ครอบครอง อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจเกิดปัญหาระหว่างเก็บเงินซื้อบ้านเพราะขาดความเข้าใจปัจจัยที่มักถูกลืมและการเตรียมพร้อมตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นเก็บเงินจนไม่สามารถไปได้ถึงเป้าหมายที่หวังไว้
ในบทความนี้ได้รวบรวม 5 สิ่งที่ควรทำก่อนการเก็บเงินซื้อบ้าน เพื่อให้คุณสามารถเก็บเงินซื้อบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ตรวจสุขภาพการเงิน
ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง สิ่งที่ควรทำคือการตรวจเช็กสภาพรถยนต์เพื่อตรวจสอบดูว่าพร้อมหรือไม่ หรือมีส่วนใดที่ชำรุด เพื่อให้สามารถเดินทางไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับการเก็บเงินซื้อบ้านให้ได้ตามเป้าหมาย คุณควรที่จะตรวจสอบความพร้อมทางการเงินและนิสัยการใช้จ่ายอันสะท้อนถึงสุขภาพการเงินของคุณให้ดีก่อน โดยสิ่งที่ควรตรวจสอบและเตรียมตัว ได้แก่
1) พฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง
สิ่งแรกที่ต้องรู้ทางด้านการเงินของตัวเอง คือ พฤติกรรมการใช้จ่าย เพื่อจะดูว่าคุณมักใช้จ่ายกับสิ่งใด สิ่งนั้นจำเป็นหรือไม่ และหากมีสิ่งที่อยากได้จริงๆ คุณตัดสินใจอย่างไร
หากคุณมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ขาดการหยั่งคิดความจำเป็น ซื้อของที่อยากได้ทันที มักยืมเงินผู้อื่น หรือใช้ “เงินในอนาคต” รวมทั้ง ไม่รู้ว่าตนเองมักใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งใด นั่นหมายความว่า คุณมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพทางการเงินอ่อนแอ เพราะคนที่ไม่รู้จักตัวเองจะไม่เห็นปัญหา และปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข
ในทางกลับกัน หากคุณรู้ว่าตนเองใช้จ่ายเงินอย่างไร มีการไตร่ตรองก่อนที่จะซื้อของทุกครั้ง โดยเฉพาะหากมีการตั้งงบประมาณการใช้จ่ายด้วยแล้ว นั่นแสดงว่าสุขภาพทางการเงินของคุณมีแนวโน้มแข็งแรงพร้อมที่จะทำสิ่งต่างๆ เช่น การเก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยว ลงทุน เป็นต้น
2) ประมาณการใช้จ่าย
อีกสิ่งที่จะบอกว่าคุณมีสุขภาพการเงินที่แข็งแรง และอาจสะท้อนถึงนิสัยและพฤติกรรมการใช้เงินได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ความสามารถในการประมาณการค่าใช้จ่ายตัวเองในแต่ละเดือน โดนสามารถประมาณได้ว่าในแต่ละเดือนจะต้องใช้จ่ายกับสิ่งใดบ้าง และอย่างละเท่าไร เพราะหากประมาณการได้ คุณก็มีแนวโน้มที่จะไม่ใช้เงินเกิน กู้ยืม หรือใช้บัตรเครดิตโดยไม่จำเป็น
3) เงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
เงินสำรองเผื่อฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนควรเตรียมไว้เผื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น บริษัทปลดพนักงาน เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ จะได้มีเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ไม่เดือนร้อน โดยเงินที่ควรสำรองไว้ต้องสามารถครอบคลุมรายจ่ายในชีวิตประจำวันและภาระประจำเป็นเวลา 6 เดือน ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเริ่มเก็บเงินเพื่อสิ่งอื่น คุณควรแบ่งเงินสำรองเอาไว้ให้พร้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น และเพื่อคุณภาพชีวิตของคุณเอง
4) ภาระหนี้สิน
หากคุณเป็นคนที่มีหนี้สินต่างๆ อยู่แล้ว เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อรถยนต์ ฯลฯ คุณควรระวังการใช้จ่ายให้รัดกุมขึ้น โดยเฉพาะในรายที่มีหนี้สินรวมเกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่า คุณมีเกณฑ์สุ่มเสี่ยงที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ และโอกาสที่จะเก็บเงินซื้อบ้านได้จริงก็อาจน้อยจนแทบเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณควรเตรียมพร้อม คือ การลดภาระหนี้ลง
สิ่งที่จะช่วยติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ ช่วยให้คุณประมาณการค่าใช้จ่ายได้นั้น คือ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพราะจะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณใช้จ่ายไปกับอะไร เปิดโอกาสให้คุณได้พิจารณาทุกครั้งที่บันทึกว่ารายจ่ายต่างๆ นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่ ทั้งนี้ คุณก็จะเห็นภาพรวมของรายได้-รายจ่ายทั้งหมดต่อเดือน คุณก็จะสามารถประมาณการใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณวางแผนแบ่งออมเผื่อฉุกเฉิน และจัดการภาระหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสุขภาพการเงินให้แข็งแรงก่อนออกเดินทางสู่เป้าหมาย
2.ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
จากข้อแรกที่ได้แนะนำไปแล้วว่า การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายจะมีประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อมทางการเงินในด้านต่างๆ โดยเฉพาะเห็นรายจ่ายทั้งหมด ซึ่งสามารถแบ่งประเภทรายจ่าย ได้ดังนี้
รายจ่ายจำเป็นหรือรายจ่ายประจำ ได้แก่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าผ่อนชำระหนี้ประจำ ค่าของใช้อุปโภคต่างๆ เป็นต้น
รายจ่ายไม่จำเป็นหรือรายจ่ายแปรผัน ได้แก่ ค่าดูหนัง ค่าอาหารมื้อพิเศษหรือรับประทานนอกบ้าน ค่าสังสรรค์ หรืออาจรวมค่าซ่อมแซมหรือค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
รายจ่ายที่ถือเป็น “รูรั่ว” ของเงินในกระเป๋าของคุณ คือ รายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือรายจ่ายเพื่อความบันเทิงต่างๆ ซึ่งคุณอาจจ่ายเป็นประจำ เช่น ค่าชา/กาแฟ/น้ำหวานวันละ 2 แก้ว ค่าบุหรี่วันละซอง ค่าสลากกินแบ่งเดือนละ 2 ครั้ง หรือการออกไปสังสรรค์ทุกสุดสัปดาห์ รายเหล่านี้หากนำมาคำนวณเป็นเงินต่อปีอาจมากจนคุณตกใจ
ยกตัวอย่างเช่น ค่ากาแฟวันละ 2 แก้ว แก้วละ 60 บาท รวมวันละ 120 บาท โดย ซื้อทุกวันที่มาทำงาน หรือ 20 วัน ต่อเดือน คิดเป็นเงิน 2,400 บาท/เดือน หรือ 28,800 บาท/ปี และค่าสลากกินแบ่ง 2 งวดต่อเดือน งวดละ 500 บาท คิดเป็นเงิน 1,000 บาท/เดือน หรือ 12,000 บาท/ปี รวมค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น 2 รายการ เป็นเงิน 40,800 บาท/ปี หรือเกือบครึ่งแสน ดังนั้น หากคุณลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง คุณก็จะสามารถเก็บเงินซื้อบ้านได้เพิ่ม 20,400 บาท จะเห็นได้ว่าหากคุณสำรวจรอยรั่วและเริ่มตัดรายจ่ายลงก่อนที่จะเริ่มเก็บเงินซื้อบ้าน คุณก็จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการเก็บออมได้มากขึ้น
3.มีเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นจริง
หลังจากที่คุณรู้ว่าสุขภาพการเงินของตัวเองเป็นอย่างไรแล้ว รู้ปัญหา รู้รายรับ-รายจ่าย และเงินคงเหลือของคุณดีแล้ว คุณก็พร้อมที่จะตั้งเป้าหมายซื้อบ้านในฝันได้ เพราะหากคุณยังไม่รู้จักตัวเองดี ไม่รู้ว่าศักยภาพทางการเงินของตัวเองเป็นอย่างไร การตั้งเป้าหมายมีบ้านอาจไม่สามารถทำได้จริง
การตั้งเป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้าน แน่นอนว่า เริ่มจากการถามตัวเองว่าเราต้องการบ้านแบบใด บ้านหลังนี้จะมีใครอาศัยบ้าง ต้องการอยู่ทำเลใด ใกล้หรือไกลเมือง และดูความเหมาะสมอื่นๆ ให้เข้ากับวิถีความเป็นอยู่ของเรามากที่สุด จากนั้นจึงค่อยหาราคาบ้านที่คิดว่าน่าจะซื้อได้ในราคาที่สมฐานะ ทั้งนี้ การเก็บเงินซื้อบ้านเต็มราคาอาจไม่ใช่คำตอบ หลายคนเลือกกู้สินเชื่อบ้าน เพื่อให้สามารถซื้อบ้านได้ในระยะเวลาไม่นาน ดังนั้น เป้าหมายเก็บเงินซื้อบ้านจึงอาจหมายถึงการเก็บเงินก้อนแรกก่อนได้เงินสินเชื่อ
จำนวนเงินเก็บที่ควรตั้งเป็นเป้าหมายนั้น ควรตั้งเป็นค่าใช้จ่ายแรกก่อนได้สินเชื่อและเงินส่วนต่างนอกเหนือจากวงเงินที่ได้ ซึ่งธนาคารโดยทั่วไปจะให้วงเงินสินเชื่อประมาณ 80 – 95%
4.วางแผนการออมและการใช้จ่าย
เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คุณควรนำเป้าหมายนั้นมาวางแผน และมุ่งมั่นทำตามแผน เพราะนอกจากการวางแผนจะช่วยให้คุณเห็นแนวทางไปสู่เป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แผนการที่ดียังช่วยคุณสร้างวินัยให้ตนเองอีกด้วย
สำหรับการเก็บเงินซื้อบ้าน จากเป้าหมายที่วางไว้คือเงินก้อนแรก 25% ของราคาบ้าน ให้คุณนำข้อมูลจากการจดบัญชีรายรัย-รายจ่ายมาประมาณการรายจ่ายออกเป็นเดือน โดยจัดสรรเงินก้อนแรกในแต่ละเดือนสำหรับการเก็บออมซื้อบ้าน ทั้งนี้ ต้องไตร่ตรองให้ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย
ยกตัวอย่างการวางแผนการออมเงินและใช้จ่าย
จากตัวอย่าง นาย ก เก็บเงินซื้อบ้านจำนวน 12,000 บาท หาก นาย ก ทำตามแผน นาย ก จะต้องใช้เวลา ประมาณ 33 เดือน หรือ 2 ปี 9 เดือน ทั้งนี้ ในแต่ละปีอาจได้รับโบนัส ซึ่งสามารถนำมาออมเพิ่มเพื่อให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น หรือหาผู้กู้ร่วม นอกจากนี้ เงินที่ นาย ก เก็บสำหรับซื้อบ้านคิดเป็น 40% ของรายได้ ซึ่งเป็นจำนวนโดยทั่วไปสำหรับภาระหนี้สิน การออมเงินซื้อบ้าน 40% จึงถือเป็นการสร้างวินัย เตรียมความพร้อมผ่อนชำระ และเป็นการสร้างเครดิตเดินบัญชีที่น่าเชื่อถือซึ่งช่วยให้กู้สินเชื่อบ้านผ่านง่ายอีกด้วย
5.ใช้ตัวช่วยเก็บเงิน
วิธีการเตรียมตัวทั้ง 4 ข้อข้างต้นน่าจะช่วยทำให้คุณมีความพร้อมที่จะเริ่มเก็บเงินอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว สำหรับข้อนี้ คือ การหาตัวช่วยเพื่อให้คุณสามารถเก็บเงินได้ง่ายขึ้น ถึงเป้าหมายได้ในเวลาที่ตั้งใจ โดยเหล่าเครื่องมือที่จะแนะนำต่อไปนี้ คือ เครื่องมือที่จะสนับสนุนประสิทธิภาพในการเตรียมตัวจาก 4 ข้อข้างต้น
1) ใช้แอปพลิเคชั่นติดตามการใช้จ่ายและตั้งงบประมาณ
สำหรับใครที่รู้สึกว่าการจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายลงสมุดเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยาก ก็ลองใช้แอปพลิเคชั่นบันทึกค่าใช้จ่ายดู โดยคุณสามารถบันทึกรายการใช้จ่ายของคุณได้ตลอดเวลา สะดวก และมีไอคอนที่สามารถแบ่งประเภทค่าใช้จ่ายออกเป็นประเภทต่างๆ เช่น ค่าอาคาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง ฯลฯ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถติดตามพฤติกรรมและการใช้จ่ายของตัวเองได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บางแอปพลิเคชั่นยังสามารถตั้งงบประมาณการใช้จ่ายได้ด้วย โดยคุณสามารถตั้งงบประมาณโดยจัดหมวดหมู่เหมือนหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง รายการชำระหนี้แต่ละเดือน ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งตัวแอปพลิเคชั่นจะแสดงให้คุณเห็นตลอดว่าคุณใช้เงินใกล้ถึงขีดจำกัดงบประมาณมากแค่ไหนแล้ว
2) เปิดบัญชีฝากประจำและตัดเงินเข้าบัญชีเงินออมแบบอัตโนมัติ
เทคนิคที่ได้ผลจริงในการเก็บเงินไม่ว่าจะเพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตาม คือ การแยกบัญชีเงินออมจากบัญชีที่เงินเข้าหรือใช้จ่ายประจำ โดยเฉพาะหากแยกเงินออมไปฝากในบัญชีฝากประจำซึ่งไม่สามารถถอนได้หากไม่ถึงกำหนดระยะเวลา เช่น 6 เดือน 12 เดือน 36 เดือน ฯลฯ ทั้งนี้ หากคุณวางแผนเก็บเงินซื้อบ้านเดือนละเท่าไร ให้คุณตัดเงินเข้าบัญชีออมเงินโดยอัตโนมัติทุกต้นเดือน เพื่อดำเนินการตามแผนเก็บออมโดยไม่ต้องทำอะไร และให้แน่ใจได้ว่าคุณเข้าใกล้เป้าหมายในทุกๆ เดือน
3) เก็บเงินด้วยกองทุน
การเก็บเงินในบัญชีฝากประจำอย่างเดียวอาจใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง แต่หากคุณแบ่งเงินออมเหล่านั้นไปเก็บออมในรูปแบบสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น กองทุน หรือหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถเก็บเงินได้รวดเร็วขึ้นจากผลกำไรประมาณ 2 – 5% ซึ่งมากกว่าเงินฝากประจำธรรมดา
สรุป
การเก็บเงินซื้อบ้านถือว่าเป็นก้าวแรกสำหรับการออกเดินทางสู่เป้าหมายมีบ้าน ทั้งนี้ ก่อนที่จะออกเดินทาง หากคุณมีการเตรียมตัวให้พร้อมและวางแผนให้ชัดเจน คุณจะสามารถมองเห็นแนวทางที่ชัดเจนขึ้น รู้ว่าควรออกแบบการเดินทางอย่างไรให้เหมาะสมกับตนเอง รู้ว่าอะไรคือภาระที่ควรปลดออกเพื่อให้เดินทางได้คล่องตัวขึ้น รู้จักเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ที่สรุปได้เป็น 5 สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนเก็บเงินซื้อบ้านในบทความนี้ให้คุณสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเก็บเงินซื้อบ้านในฝันได้