สำหรับคนที่มีแผนอยากซื้อบ้านหรืออยากสร้างบ้าน หนึ่งในข้อสงสัยก็คือ “เงินเดือนเท่านี้ จะสามารถกู้ได้เท่าไหร่” หรืออยากประเมินความสามารถในการกู้บ้านของตัวเอง เพื่อที่จะได้ประเมินราคาบ้านที่จะซื้อหรือกะเกณฑ์งบประมาณในการสร้างบ้านได้เหมาะสมกับวงเงินที่จะได้
โดยความสามารถในการกู้บ้านนั้น จะเป็นสิ่งที่ธนาคารเป็นผู้พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งนี้ หากตัวผู้กู้รู้ว่าเกณฑ์การคิดมาจากอะไรบ้าง ก็สามารถประเมินความสามารถในการกู้ของตัวเองก่อนได้ รวมถึงหาวิธีเพิ่มความสามารถทางการเงินให้กู้สินเชื่อบ้านในวงเงินที่มากขึ้นได้ด้วย
วิธีการประเมินความสามารถในการกู้บ้านจะคิดจากอะไรบ้าง แล้วเงินเดือนของคุณ จะกู้ได้ประมาณเท่าไร แนะนำวิธีคิดด้านล่างนี้
ความสามารถในการกู้บ้าน คืออะไร ธนาคารคิดจากอะไรบ้าง?
ความสามารถในการกู้บ้าน คือ สิ่งที่ธนาคารจะประเมินว่า ผู้กู้มีความสามารถในการกู้ได้มากเท่าไร โดยดูจากรายได้และรายจ่ายประจำของผู้กู้เป็นหลัก ยิ่งผู้กู้มีความสามารถในกู้มากเท่าไร ก็หมายถึงวงเงินที่อาจจะได้รับอนุมัติจากธนาคารสูงขึ้น ผู้กู้หลายรายจึงต้องการประมาณการว่า ตัวเองมีความสามารถในการกู้สินเชื่อบ้านและน่าจะได้รับวงเงินเท่าไร เพื่อนำไปใช้มองหาบ้านในราคาหรือกำหนดงบประมาณสร้างบ้านที่เหมาะสมกับวงเงิน
แล้วความสามารถในการกู้บ้าน ธนาคารดูจากอะไร?
ธนาคารโดยทั่วไปจะพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่
- ประมาณการรายได้ต่อเดือน
- ประมาณการภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินต่อเดือน
- ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน
ซึ่งการแสดงตัวอย่างการประเมินความสามารถในการกู้บ้าน เป็นอัตราส่วนที่ใช้สำหรับการประมาณการรายได้ การประมาณการหนี้สิน และความสามารถในการผ่อนชำระด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่อัตราส่วนที่อ้างอิงจากธนาคารใดธนาคารหนึ่ง เนื่องจากหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคิดอาจแตกต่างไปตามแต่ละธนาคาร
1. ประมาณการรายได้ต่อเดือน
แน่นอนว่า ปัจจัยแรกที่ธนาคารจะนำมาพิจารณาก็คือ รายได้ ซึ่งไม่เพียงแค่เงินเดือนเท่านั้น แต่รายได้จากช่องทางต่างๆ ธนาคารจะนำมาพิจารณาเป็นรายได้รวมของผู้กู้ให้ โดยรายได้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ด้วยกัน ได้แก่
- รายได้คงที่ หมายถึง รายได้ที่ได้รับเป็นประจำทุกเดือนหรือมีหลักฐานรับรองรายได้ เช่น เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าครองชีพ
- รายได้ไม่คงที่ หมายถึง รายได้ที่อาจจะได้รับ หรือไม่ได้รับ หรือได้รับไม่เท่ากันทุกเดือน เช่น ค่าล่วงเวลา ค่าบริการ ค่าคอมมิชชั่นยอดขายสินค้า เบี้ยขยัน ฯลฯ ซึ่งรายได้เหล่านี้ ธนาคารจะคิดเป็นค่าเฉลี่ยและนำมาคำนวณเพียงบางส่วน (ไม่นำมาคำนวณเต็มจำนวน)
ตัวอย่างการคำนวณประมาณการรายได้
- เงินเดือน : 100%
- รายได้อื่นๆ ที่ระบุในสลิปเงินเดือน : 100%
- รายได้ไม่คงที่ (เป็นรายได้ที่ได้รับต่อเนื่อง : คิดเป็นค่าถัวเฉลี่ย) : 50%
ตัวอย่างการคำนวณประมาณการรายได้ (ต่อเดือน) | |
รายได้เฉลี่ยต่อเดือน | ประมาณการรายได้ต่อเดือน |
เงินเดือน 25,000 บาท | คิด 100% = 25,000 บาท |
รายได้อื่นๆ ที่ระบุในสลิปเงินเดือน เช่นเงินประจำตำแหน่ง 1,000 บาทค่าครองชีพ 1,000 บาท | คิด 100% = 2,000 บาท |
รายได้ไม่คงที่ (เป็นรายได้ที่ได้รับต่อเนื่อง : คิดเป็นค่าถัวเฉลี่ย) เช่นค่าคอมมิชชั่น 8,583 บาทค่าล่วงเวลาเฉลี่ย 1,500 บาทเบี้ยขยัน 1,000 บาทรายได้จากการขายของออนไลน์ 2,000 บาท | คิด 50% = 13,083 บาท x 50% = 6,541.50 บาท |
รวมประมาณการรายได้ทั้งสิ้น | 25,000 + 2,000 + 6,541.50 = 33,541.50 บาท |
*หมายเหตุ: อัตราส่วนการประมาณการรายได้ ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแต่ละธนาคารกำหนด
2. ประมาณการหนี้สินที่ต้องชำระต่อเดือน
ปัจจัยต่อมาที่ธนาคารจะนำมาใช้ประเมินความสามารถในการกู้ ก็คือ ภาระหนี้สินที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดของผู้กู้ โดยธนาคารจะนำภาระหนี้สินของผู้กู้ไปหักกับรายได้ จึงจะสามารถประเมินวงเงินให้กับผู้กู้ได้
ตัวอย่างการคำนวณประมาณการหนี้สิน
- ผ่อนสินเชื่อบ้าน : 100% (จากอัตราผ่อนแต่ละเดือน หากเหลือ 3 งวดสุดท้าย ไม่คิด)
- ผ่อนรถยนต์/รถมอเตอร์ไซค์ : 100% (จากอัตราผ่อนแต่ละเดือน หากเหลือ 3 งวดสุดท้าย ไม่คิด)
- บัตรเครดิต : 10% (จากยอดคงเหลือล่าสุด)
- บัตรกดเงินสด : 5% (จากยอดคงเหลือล่าสุด)
ตัวอย่างการประมาณการหนี้สิน (ต่อเดือน) | |
ภาระผ่อนหนี้สินต่อเดือน | ประมาณการรายจ่ายต้องผ่อนต่อเดือน |
ค่าผ่อนบ้าน 8,000 บาท | คิด 100% = 8,000 บาท |
ค่าผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ 2,500 บาท | คิด 100% = 2,500 บาท |
บัตรเครดิต 30,000 บาท | คิด 10% = [30,000 x 10%] = 3,000 บาท |
รวมประมาณการรายจ่าย | 8,000 + 2,500 + 3,000 = 13,500 บาท |
*หมายเหตุ: อัตราส่วนการประมาณการหนี้สิน ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแต่ละธนาคารกำหนด
3. ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน
ปัจจัยข้อสุดท้ายที่ธนาคารจะใช้ประเมินความสามารถทางการเงินของผู้กู้ คือ “ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน” ซึ่งจะนำทั้ง 1) ประมาณการรายได้ และ 2) ประมาณการรายจ่ายต้องผ่อน มาคำนวณด้วย
โดยความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ธนาคารแต่ละที่จะกำหนดตั้งแต่ 40% – 70%* ของรายได้หลังหักภาระหนี้สินต่างๆ ออกแล้ว
*หมายเหตุ: อัตราส่วนความสามารถในการผ่อนชำระขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารกำหนด
สูตรคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ (กรณีธนาคารกำหนดความสามารถที่ 50%)
[รายได้ x 50%] – หนี้สินทั้งหมด = ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้สูงสุด
ยกตัวอย่างการคำนวณ
- ประมาณการรายได้ = 33,541.50 บาท
- ประมาณการรายจ่ายหนี้สิน = 13,500 บาท
∴ ความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ได้ [33,541.50 x 50%] – 13,500 = 3,270.50 บาท
ทั้งนี้ หากผู้กู้เตรียมตัวกู้ซื้อบ้าน สะสางหนี้สินต่างๆ จนหมด ก็จะมีความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือนได้มากขึ้น ซึ่งจะสามารถเพิ่มวงเงินสูงสุดที่จะได้ ยกตัวอย่างเช่น รายได้เฉลี่ย 33,541.50 บาท x 50% = 16,770.75 บาท
วิธีประเมินความสามารถในการกู้ หรือ คำนวณวงเงินกู้บ้าน
วิธีการประเมินความสามารถในการกู้โดยทั่วไป ธนาคารจะใช้ อัตราผ่อน 7,000 : วงเงินกู้ 1,000,000 บาท* ซึ่งผู้กู้สามารถนำมาคำนวณหาวงเงินกู้บ้านที่น่าจะได้รับกับความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ด้วยสูตรนี้
(ความสามารถในการชำระหนี้ x 1,000,000) ÷ 7,000 = ยอดวงเงินกู้
ยกตัวอย่างการคำนวณ
(3,270.75 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 467,250
จากตัวอย่างข้างต้น ผู้กู้อาจได้วงเงินกู้บ้านจำนวน 467,250 บาท
หรือในกรณีที่ไม่มีภาระหนี้สิน คำนวณวงเงินกู้สูงสุดได้ (16,770.75 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 2,395,821 บาท
ดังนั้น หากผู้กู้ต้องการวงเงินในการกู้ซื้อบ้านที่สูงขึ้น จึงควรสะสางหนี้สินต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุด
เงินเดือนเท่านี้ สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้สูงสุดเท่าไหร่
สรุปแล้ว เงินเดือนของคุณ สามารถกู้สินเชื่อได้วงเงินสูงสุดที่เท่าไหร่ หากประเมินจากรายได้คร่าวๆ ในกรณีที่ไม่มีหนี้สินอะไร ธอส. ประมาณการวงเงินสินเชื่อบ้านให้ โดยมีขั้นตอนในการคิด ได้แก่
- คำนวณความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน
- คำนวณความสามารถในการกู้หรือวงเงิน
เงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือน (บาท) | ความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน (กรณีกำหนดไม่เกิน 50% ของรายได้) | วงเงินกู้สูงสุดโดยประมาณ (บาท) |
15,000 | 7,500 | 1,074,429 |
20,000 | 10,000 | 1,428,571 |
30,000 | 15,000 | 2,142,857 |
40,000 | 20,000 | 2,857,143 |
50,000 | 25,000 | 3,571,428 |
60,000 | 30,000 | 4,285,714 |
100,000 | 50,000 | 7,142,857 |
หมายเหตุ: สูตรการคำนวณดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการเท่านั้น หากผู้ยื่นกู้ต้องการทราบข้อมูลแบบละเอียดชัดเจน แนะนำให้ทำการติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคาร ธอส.
แนะนำสินเชื่อบ้าน ธอส. ที่ให้วงเงินได้สูงกว่า
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณน่าจะพอได้คำตอบคร่าวๆ ว่าความสามารถในการกู้บ้านของคุณหรือวงเงินที่น่าจะได้รับจากธนาคารอยู่ที่เท่าไร ทั้งนี้ หากผู้กู้เลือกขอสินเชื่อกับธนาคารอาหารสงเคราะห์ หรือ ธอส. คุณมีโอกาสได้วงเงินสินเชื่อบ้านที่สูงกว่าธนาคารอื่น เนื่องจากสามารถเลือกผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี (โดยผู้กู้ต้องอายุไม่เกิน 70 ปี)
เมื่อผ่อนชำระได้ยาวนานขึ้น (ธนาคารโดยทั่วไปจะให้ระยะเวลาผ่อนชำระเพียง 30 ปี) ภาระในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้านแต่ละงวดจะถูกลง ทำให้เมื่อนำมาคำนวณวงเงิน จึงมีโอกาสได้วงเงินที่สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการให้วงเงินยังมีปัจจัยต่างๆ ที่ธนาคารจะนำมาพิจารณา ซึ่งแตกต่างไปตามเงื่อนไขของแต่ละบุคคล
หากคุณสนใจยื่นกู้สินเชื่อบ้านหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำด้านสินเชื่อ และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับ >>> ได้ที่นี่
เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่คอยให้คำแนะนำ พร้อมเปรียบเทียบและหยิบยื่นข้อเสนอด้านสินเชื่อที่ดีที่สุดให้กับคุณ ติดต่อเราได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ
หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.ghbank.co.th
ติดต่อ G H BANK Call Center : 02 645 9000