การเอาบ้านเข้าธนาคารเป็นหนึ่งในวิธีที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคยมากนัก แต่สามารถเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีบ้านเป็นของตัวเองและต้องการเงินทุนก้อนใหญ่ บทความนี้จะอธิบายทุกเรื่องสำคัญของการเอาบ้านเข้าธนาคาร ทั้งข้อดี เอกสารที่ต้องใช้ ขั้นตอนการดำเนินการ ข้อควรระวัง ตลอดไปจนถึงการเลือกธนาคารที่เหมาะสมในการเอาบ้านเข้าธนาคาร
การเอาบ้านเข้าธนาคารคืออะไร
การเอาบ้านเข้าธนาคาร หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “สินเชื่อบ้านแลกเงิน” คือการนำบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเอง (ไม่มีภาระผูกพันหรือหนี้สิน) ไปเป็นหลักประกันกับธนาคารเพื่อขอสินเชื่อ โดยเจ้าของบ้านจะได้รับเงินก้อนจากธนาคารและผ่อนชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ตกลงกัน ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อบ้านใหม่หรือการรีไฟแนนซ์ เพราะเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เราเป็นเจ้าของอยู่แล้วมาเป็นหลักประกันเพื่อรับเงินก้อน โดยไม่ต้องซื้อทรัพย์สินใหม่หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาเงินกู้เดิม
การเอาบ้านเข้าธนาคารเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การลงทุนในธุรกิจ การศึกษาต่อ หรือการรวมหนี้จากแหล่งอื่นที่มีดอกเบี้ยสูงกว่า
เอาบ้านเข้าธนาคารมีข้อดีอย่างไร

การเอาบ้านเข้าธนาคาร หรือการทำสินเชื่อบ้านแลกเงิน เป็นทางเลือกทางการเงินที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการเงินทุนก้อนใหญ่ โดยวิธีนี้มีข้อดีหลายอย่างที่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากมูลค่าบ้านของตัวเอง
1. ดอกเบี้ยถูก
หนึ่งในข้อดีที่สำคัญที่สุดของการเอาบ้านไปเข้าธนาคารคือ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ เนื่องจากบ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี ธนาคารจึงมองว่าเป็นหลักประกันที่มั่นคง ส่งผลให้สามารถเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ได้
ตัวอย่างเช่น สินเชื่อส่วนบุคคลอาจมีดอกเบี้ยสูงถึง 15-28% ต่อปี การเอาบ้านเข้าธนาคารอาจได้รับดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ประมาณ 3.95% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น
2. วงเงินสูง
อีกหนึ่งข้อดีที่สำคัญของการเอาบ้านไปเข้าธนาคารคือ การได้รับวงเงินสินเชื่อที่สูง เนื่องจากบ้านมักมีมูลค่าสูง ธนาคารจึงสามารถอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่สูงตามไปด้วย โดยทั่วไปแล้วธนาคารอาจให้วงเงินสูงถึง 70-95% ของราคาประเมินบ้าน วงเงินที่สูงนี้เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการเงินทุนก้อนใหญ่ เช่น การลงทุนในธุรกิจ การซื้อทรัพย์สินมูลค่าสูง หรือการรวมหนี้จากหลายแหล่ง
3. ผ่อนสบาย
การเอาบ้านเข้าธนาคารมักมาพร้อมกับระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน โดยทั่วไปอาจสูงถึง 20-30 ปี ซึ่งยาวกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ อย่างมาก ระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนานนี้ส่งผลให้ยอดผ่อนต่อเดือนต่ำลง ทำให้ผู้กู้มีภาระในการผ่อนชำระที่น้อยลงและจัดการได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ในอนาคตที่คุณมีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้น ก็สามารถเลือกที่จะจ่ายเพิ่มหรือปิดบัญชีก่อนกำหนดได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการจัดการภาระหนี้
เอกสารในการเอาบ้านเข้าธนาคาร
การเอาบ้านไปเข้าธนาคารต้องใช้เอกสารหลายอย่างเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความคล้ายกับการขอสินเชื่อบ้านประเภทอื่น ๆ โดยเอกสารที่จำเป็นมักจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ดังนี้
เอกสารยืนยันตัวตน
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
- สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)
เอกสารยืนยันหลักประกัน
- สำเนาโฉนดที่ดินด้านหน้าและหลัง
- ภาพถ่ายบ้านที่เป็นหลักประกัน
เอกสารยืนยันรายได้ (กรณีพนักงานประจำ)
- รายการเดินบัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือน
- หนังสือรับรองเงินเดือนหรือสลิปเงินเดือน
- ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (ถ้ามี)
เอกสารยืนยันรายได้ (กรณีเจ้าของกิจการ)
- รายการเดินบัญชีเงินฝากส่วนตัวหรือบัญชีกิจการย้อนหลัง 6 เดือน
- สำเนาทะเบียนการค้าหรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล
- ภาพถ่ายและแผนที่ตั้งกิจการ
- สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (ถ้ามี)
ขั้นตอนของการเอาบ้านเข้าธนาคาร

การเอาบ้านเข้าธนาคารอาจดูเหมือนเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน แต่เมื่อแบ่งออกเป็นขั้นตอนแล้ว จะเห็นว่าไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด โดยขั้นตอนของการเอาบ้านเข้าธนาคารมีดังนี้
1. ยื่นเอกสารให้ธนาคาร
วิธีเอาบ้านเข้าธนาคารขั้นตอนแรก คือการยื่นเอกสารให้ธนาคารพิจารณา ซึ่งประกอบด้วยเอกสารต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้า การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว ดังนั้น ควรตรวจสอบรายการเอกสารที่ต้องใช้กับธนาคารให้ชัดเจนก่อนการยื่นคำขอสินเชื่อ
2. ประเมินหลักประกัน
หลังจากที่ธนาคารได้รับเอกสารและพิจารณาเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการประเมินราคาหลักประกัน ซึ่งก็คือบ้านที่คุณนำมาขอสินเชื่อนั่นเอง ธนาคารจะส่งเจ้าหน้าที่หรือบริษัทประเมินราคาที่ได้รับการรับรองมาทำการประเมินมูลค่าบ้านของคุณ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ทำเลที่ตั้ง สภาพบ้าน อายุของบ้าน และราคาตลาดในบริเวณใกล้เคียง
3. รอฟังผลอนุมัติ
ในขั้นตอนนี้ ธนาคารจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ประกอบกัน เช่น ราคาประเมินบ้าน ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา และนโยบายการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เมื่อธนาคารพิจารณาเสร็จสิ้น จะแจ้งผลการอนุมัติพร้อมทั้งวงเงินและเงื่อนไขสินเชื่อให้คุณทราบ ซึ่งอาจรวมถึงอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
4. ทำสัญญา
หากคุณตกลงกับเงื่อนไขสินเชื่อที่ธนาคารเสนอ ขั้นตอนสุดท้ายคือการทำสัญญา ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
- สัญญากู้ยืมเงิน เป็นสัญญาที่ระบุรายละเอียดของสินเชื่อ เช่น จำนวนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และเงื่อนไขอื่น ๆ
- สัญญาจำนอง เป็นสัญญาที่ระบุว่าคุณนำบ้านมาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน โดยต้องไปจดทะเบียนจำนองที่สำนักงานที่ดิน
ในวันทำสัญญา คุณจะต้องนำเอกสารสำคัญต่าง ๆ มาด้วย เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และโฉนดที่ดิน นอกจากนี้ คุณอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าจดทะเบียนจำนอง ค่าอากรแสตมป์ และค่าประเมินราคาหลักประกัน เมื่อทำสัญญาเสร็จสิ้น ธนาคารจะโอนเงินกู้เข้าบัญชีของคุณตามที่ได้ตกลงกันไว้ และคุณจะเริ่มมีภาระในการผ่อนชำระตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา
ข้อควรระวังการเอาบ้านเข้าธนาคาร
- ภาระผูกพันระยะยาว การเอาบ้านเข้าธนาคารมักมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินที่ต้องแบกรับเป็นเวลานาน คุณควรพิจารณาความมั่นคงทางรายได้ในระยะยาวก่อนตัดสินใจ
- ความเสี่ยงในการสูญเสียบ้าน หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ธนาคารมีสิทธิ์ยึดบ้านที่เป็นหลักประกันได้ ดังนั้น ควรประเมินความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบ
- ค่าใช้จ่ายแฝง นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึง เช่น ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดจำนอง ค่าธรรมเนียมการทำสัญญา ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนรวมสูงขึ้น
- ผลกระทบต่อเครดิต การเอาบ้านเข้าธนาคารจะปรากฏในประวัติเครดิตของคุณ ซึ่งอาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
- ข้อจำกัดในการใช้หลักประกัน เมื่อนำบ้านไปจำนองกับธนาคารแล้ว คุณอาจมีข้อจำกัดในการใช้บ้านเป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่ออื่น ๆ ในอนาคต
- ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย หากเลือกอัตราดอกเบี้ยลอยตัว อัตราดอกเบี้ยอาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ภาระการผ่อนชำระสูงขึ้น
- การใช้เงินอย่างมีวินัย เงินที่ได้จากการเอาบ้านเข้าธนาคารเป็นเงินก้อนใหญ่ คุณควรมีแผนการใช้เงินที่ชัดเจนและมีวินัยในการใช้จ่าย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินในอนาคต
เอาบ้านเข้าธนาคารที่ธนาคารไหนดี
หากคุณกำลังมองหาสถาบันการเงินที่ดีที่สุดสำหรับการเอาบ้านเข้าธนาคาร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ G H Bank คือคำตอบที่ใช่และคุ้มค่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่แข่งขันได้ วงเงินสูงสุดถึง 95% ของราคาประเมิน และระยะเวลาผ่อนชำระนานถึง 30 ปี G H Bank ช่วยให้คุณได้รับเงินก้อนใหญ่พร้อมภาระผ่อนที่สบายกระเป๋า นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันพิเศษและบริการที่ครบวงจรจากผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ เอาบ้านเข้าธนาคารกับ G H Bank วันนี้ เพื่อรับประโยชน์สูงสุดและบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ
สรุปบทความเอาบ้านเข้าธนาคารที่ธนาคาร

การเอาบ้านเข้าธนาคาร หรือการทำสินเชื่อบ้านแลกเงิน เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการเงินทุนก้อนใหญ่ โดยมีข้อดีหลัก ๆ คือ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่น วงเงินสินเชื่อที่สูง และระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารการเงิน
ท้ายที่สุด การเอาบ้านเข้าธนาคารสามารถเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ หากใช้อย่างรอบคอบและมีการวางแผนที่ดี แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบและความเสี่ยงที่ต้องตระหนักและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม การตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและการวางแผนการเงินที่รัดกุมจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเอาบ้านเข้าธนาคาร และสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับใครที่กำลังต้องการขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีสินเชื่อที่หลากหลาย เพื่อออกแบบมาให้เหมาะสมกับเงื่อนไขของทุกคน พร้อมเปิดกว้างให้กับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหลากหลายกลุ่ม
หากคุณสนใจขอสินเชื่อบ้านจาก ธอส. สามารถทำการกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำด้านสินเชื่อ และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับ >>> ได้ที่นี่
หรือติดต่อได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center : 0-2645-9000