การมองหาตัวช่วยเพื่อประหยัดภาษีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลายคน โดยเฉพาะการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี ซึ่งในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงและมีกองทุนใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างน่าสนใจ ทำให้เราต้องอัปเดตข้อมูลกันอย่างใกล้ชิด บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทต่าง ๆ พร้อมสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้การวางแผนภาษีของเราเป็นไปอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
กองทุนลดหย่อนภาษี คืออะไร
กองทุนลดหย่อนภาษี คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ภาครัฐให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวและการลงทุนในสินทรัพย์ตามนโยบายที่กำหนด โดยเงินที่เรานำไปลงทุนในกองทุนเหล่านี้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินก่อนคำนวณภาษี ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง นับเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายการออมไปพร้อมกับการบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของกองทุนลดหย่อนภาษีที่ได้รับความนิยม
สำหรับปีภาษี 2568 มีกองทุนลดหย่อนภาษีหลายประเภทให้เราเลือกลงทุนตามเป้าหมายและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ตั้งแต่กองทุนที่คุ้นเคยกันดีเพื่อการเกษียณ ไปจนถึงกองทุนน้องใหม่ที่เน้นการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรายละเอียดและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่น่าสนใจที่เราควรรู้จัก
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนอื่น ๆ
กลุ่มกองทุนเพื่อการวางแผนเกษียณยังคงเป็นทางเลือกหลักในการลดหย่อนภาษี นำโดยกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี นอกจากนี้ยังมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ประกันชีวิตแบบบำนาญ รวมถึงกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ที่ยังคงให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดิม เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาวไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณ
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG เป็นกองทุนที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาเป็นทางเลือกในการลดหย่อนภาษีเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาลที่ดี (ESG) ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนพร้อมกับมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย
กองทุน Thai ESGX
ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการลงทุนเพิ่มเติม โดยแบ่งแหล่งที่มาของเงินลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีออกเป็น 2 ส่วนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้
- ส่วนที่ใช้เงินลงทุนใหม่ เป็นการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESGX ด้วยเงินลงทุนใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรการพิเศษที่มีเงื่อนไขด้านระยะเวลาในการลงทุนที่จำกัด
- ส่วนที่สับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังคงมีเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สามารถโอนย้ายหน่วยลงทุนมายังกองทุน Thai ESGX ได้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจากเงินลงทุนเดิม
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ยังลดหย่อนภาษีปี 2568 ได้อยู่ไหม
สำหรับกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมในการลดหย่อนภาษีนั้น สิทธิประโยชน์ดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยปี 2567 เป็นปีสุดท้ายที่สามารถลงทุนเพื่อใช้สิทธิได้ ดังนั้น ตั้งแต่ปีภาษี 2568 เป็นต้นไป เราจะไม่สามารถนำเงินลงทุนในกองทุน SSF ที่ซื้อใหม่มาหักลดหย่อนภาษีได้อีกต่อไป แต่ยังคงต้องถือครองหน่วยลงทุนเดิมให้ครบตามเงื่อนไขที่กำหนด
สิทธิประโยชน์ในการนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี
การลงทุนในกองทุนแต่ละประเภทยังมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษีที่แตกต่างกันไป ทั้งในด้านของเพดานสูงสุดและเงื่อนไขการคำนวณวงเงิน การทำความเข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการลงทุนและการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท โดยวงเงินนี้จะต้องนำไปนับรวมกับกองทุนอื่น ๆ ในกลุ่มเพื่อการเกษียณอายุด้วย เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. เป็นต้น
- กองทุน Thai ESG ให้สิทธิลดหย่อนสูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน หรือสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับปีภาษี 2568 โดยจุดเด่นคือวงเงินนี้เป็นสิทธิพิเศษที่ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณกับวงเงินของกลุ่มกองทุนเพื่อการเกษียณ
- กองทุน Thai ESGX สิทธิประโยชน์แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ใช้เงินใหม่ซื้อลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยเป็นวงเงินแยกต่างหาก ไม่ต้องรวมกับกลุ่มกองทุนเกษียณ ส่วนที่สับเปลี่ยนจาก LTF สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้สูงสุดถึง 500,000 บาท โดยแบ่งเป็น 300,000 บาทในปีแรก และทยอยลดหย่อนอีก 200,000 บาทในปีถัด ๆ ไป (ปีละไม่เกิน 50,000 บาท) โดยการลงทุนทั้งสองส่วนต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 เท่านั้น
การได้รับยกเว้นภาษี
นอกเหนือจากสิทธิลดหย่อนภาษี ณ ตอนที่ลงทุนแล้ว ผลประโยชน์หรือกำไรที่เราจะได้รับเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนในอนาคตก็อาจได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นกัน หากเราปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนที่แต่ละกองทุนกำหนดไว้อย่างครบถ้วน
- กองทุน RMF กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด เมื่อผู้ลงทุนถือครองหน่วยลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี (นับจากวันซื้อครั้งแรก) และทำการขายคืนเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป นอกจากนี้ยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุนต่อเนื่อง คือ ซื้ออย่างน้อยปีละครั้งและไม่หยุดซื้อเกิน 1 ปีติดต่อกัน (เว้นแต่จะถือครบเงื่อนไขแล้ว)
- กองทุน Thai ESG ผลประโยชน์จากการขายคืนหน่วยลงทุนจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ต้องถือครองหน่วยลงทุนนั้นมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปีเต็ม นับจากวันที่ซื้อ
ข้อควรพิจารณาในการลงทุนลดหย่อนภาษี
การเลือกซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีไม่ควรพิจารณาแค่สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบกัน เพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนที่เลือกนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายและความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราอย่างแท้จริง โดยมีประเด็นหลักที่ควรพิจารณาดังนี้
- ระยะเวลาการลงทุน กองทุนลดหย่อนภาษีแต่ละประเภทมีเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองที่แตกต่างกัน เช่น RMF ต้องถือจนอายุ 55 ปี หรือ Thai ESG ต้องถือครบ 8 ปี เราจึงต้องมั่นใจว่าเป็นเงินเย็นที่สามารถลงทุนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด
- ความเสี่ยงในการลงทุน กองทุนต่าง ๆ มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงสูง เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ หรือหุ้น เราจึงควรเลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเอง และกระจายการลงทุนเพื่อลดความผันผวน
- เงื่อนไขการขายคืน การผิดเงื่อนไขการลงทุน เช่น ขายคืนก่อนกำหนด อาจทำให้ต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับลดหย่อนไป พร้อมกับต้องเสียค่าปรับหรือเงินเพิ่ม จึงควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขการขายคืนให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน

สรุป กองทุนลดหย่อนภาษี
การวางแผนภาษีผ่านกองทุนรวมเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด โดยในปี 2568 นี้มีตัวเลือกที่น่าสนใจทั้ง RMF ลดหย่อนภาษีที่เป็นกองทุนหลัก และกองทุนใหม่อย่าง Thai ESG และ Thai ESGX ที่ให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม การศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขของแต่ละกองทุนจะช่วยให้เราเลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด การมีวินัยในการออมและการลงทุนระยะยาว คือหัวใจสำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
ซึ่งนอกจากการลงทุนกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีแล้ว กรมสรรพากรยังให้ผู้ที่กู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ๆ มาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย หากคุณสนใจขอสินเชื่อบ้านจาก ธอส. สามารถทำการกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำด้านสินเชื่อ และให้เจ้าหน้าที่ธนาคารติดต่อกลับ >>> ได้ที่นี่
หรือติดต่อได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center : 0-2645-9000