6 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนนี้

/
/
6 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เพียงทำตามขั้นตอนนี้

เตรียมตัวคำนวณ “ลดหย่อนภาษี” เพื่อไว้ใช้ยื่นภาษีจริงในปีหน้า ในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ เพียงทำตามขั้นตอนนี้

การลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนที่มีรายได้และต้องเสียภาษี ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานบริษัท เจ้าของธุรกิจ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ หากมีการวางแผนลดหย่อนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณประหยัดเงินและได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบภาษี

วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ เพียงทำตามขั้นตอน รับรอง ครบ จบ ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีสิ้นปีอีกต่อไป

เข้าสู่ช่วงสิ้นปีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนกังวล โดยเฉพาะเหล่าคนทำงาน คือเตรียมตัวคำนวณ “ลดหย่อนภาษี” เพื่อไว้ใช้ยื่นภาษีจริงในปีหน้า ในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ เพียงทำตามขั้นตอนนี้ รับรองว่าไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีสิ้นปีอีกต่อไป

การลดหย่อนภาษี คืออะไร

การลดหย่อนภาษี คือ รายการที่กฎหมายกำหนดให้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว เพื่อลดจำนวนเงินได้สุทธิที่จะนำไปคำนวณภาษี ทำให้เสียภาษีน้อยลง โดยมีวิธีการคำนวณภาษีทั่วไป ดังนี้

  • รายได้ต่อปี – ค่าใช้จ่าย = เงินได้พึงประเมิน
  • เงินได้พึงประเมิน – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
  • เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย

ดังนั้น ยิ่งมีค่าลดหย่อนมาก ก็จะยิ่งช่วยลดจำนวนเงินได้สุทธิ ส่งผลให้เสียภาษีน้อยลง

ความสำคัญของการลดหย่อนภาษี

การลดหย่อนภาษี เป็นวิธีที่จะทำให้เราได้เงินภาษีคืน และประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองได้มากขึ้น โดยเป็นรายการใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีเงินได้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเพิ่มเติมได้ และวิธีนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นรายการที่กฎหมายอนุญาตให้ทุกคนทำได้นั่นเอง

การลดหย่อนภาษีดีอย่างไร

การลดหย่อนภาษีมีประโยชน์หลัก ๆ อยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ การช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง การเพิ่มเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายหรือการออม และการได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมจากการลงทุนหรือการทำประกัน ซึ่งแต่ละด้านล้วนมีส่วนช่วยในการวางแผนทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มาดูกันว่าข้อดีของการลดหย่อนภาษีคืออะไร ลดหย่อนภาษี อะไรได้บ้าง สามารถส่งผลดีต่อสถานะทางการเงินของคุณได้อย่างไรบ้าง

จ่ายภาษีน้อยลง

การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยลดจำนวนเงินภาษีที่ต้องจ่าย ทำให้คุณมีเงินเหลือมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเงินได้สุทธิ 500,000 บาท คุณจะต้องจ่ายภาษี 27,500 บาท แต่ถ้าคุณใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่ม 100,000 บาท เงินได้สุทธิจะเหลือ 400,000 บาท และคุณจะจ่ายภาษีเพียง 17,500 บาท ทำให้ประหยัดภาษีได้ 10,000 บาท

มีเงินเหลือมากขึ้น

เมื่อคุณจ่ายภาษีน้อยลง นั่นหมายความว่าคุณจะมีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับการใช้จ่าย การออม หรือการลงทุนในอนาคต เงินที่ประหยัดได้จากการลดหย่อนภาษีสามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้

ยกตัวอย่างจากกรณีข้างต้น เงิน 10,000 บาทที่ประหยัดได้จากการลดหย่อนภาษี หากนำไปลงทุนต่อที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี เป็นเวลา 10 ปี คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 16,288.95 บาท ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเงินที่ประหยัดได้

ได้ผลประโยชน์

การลดหย่อนภาษีบางประเภท เช่น การลงทุนในกองทุนรวม หรือการทำประกันชีวิต นอกจากจะช่วยลดภาษีแล้ว ยังให้ผลตอบแทนหรือความคุ้มครองเพิ่มเติมอีกด้วย เช่น การลงทุนใน RMF 100,000 บาท นอกจากจะช่วยลดภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท (สำหรับผู้ที่มีรายได้อยู่ในขั้นภาษี 30%) แล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย

ใครที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

โดยทั่วไป บุคคลที่มีรายได้ตั้งแต่ 150,000 บาทขึ้นไปต่อปีจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนภาษี บุคคลธรรมดา มีอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามระดับรายได้ ดังนี้

  • รายได้รวมต่ำกว่า 150,000 บาท/ปี ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี
  • รายได้รวม 150,001 – 300,000 บาท/ปี เสียภาษี 5%
  • รายได้รวม 300,001 – 500,000 บาท/ปี เสียภาษี 10%
  • รายได้รวม 500,001 – 750,000 บาท/ปี เสียภาษี 15%
  • รายได้รวม 750,001 – 1,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 20%
  • รายได้รวม 1,000,001 – 2,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 25%
  • รายได้รวม 2,000,001 – 5,000,000 บาท/ปี เสียภาษี 30%
  • รายได้รวม 5,000,001 บาทขึ้นไป/ปี เสียภาษี 35%

6 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆ ลดหย่อนภาษีส่วนตัว

6 วิธีลดหย่อนภาษีสิ้นปีง่าย ๆลดหย่อนภาษีส่วนตัว

ต่อไปนี้เป็น 6 วิธีการลดหย่อนภาษีที่สำคัญ ซึ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเองได้

1. ลดหย่อนภาษีส่วนตัว

สำหรับการลดหย่อนภาษีส่วนตัว กรมสรรพากรได้กำหนดให้ สามารถหักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ที่มีรายได้ทุกคน ที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ทันที โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ

2. ลดหย่อนภาษีครอบครัว

การลดหย่อนภาษีของครอบครัวนั้น แต่ละครอบครัวสามารถนำค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ โดยต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสต้องไม่มีรายได้ นอกจากนั้นยังมีในกรณีที่เรามีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตร หรือการตั้งครรภ์ ก็สามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนได้เช่นกัน

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้
  • ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ที่จ่ายให้กับสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง รวมสูงสุดไม่เกินครรภ์ละ 60,000 บาท (ทั้งนี้การตั้งครรภ์ลูกแฝดจะนับว่าเป็นครรภ์เดียว) หากทั้งสามีและภรรยายื่นภาษีทั้งคู่ จะให้สิทธิลดหย่อนนี้แก่ภรรยาเท่านั้น โดยสามีสามารถลดหย่อนภาษีในกรณีที่ภรรยาไม่มีเงินได้
  • ค่าลดหย่อนภาษีบุตร คนละ 30,000 บาท โดยจะต้องเป็นบุตรโดยกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว และต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุไม่เกิน 25 ปี และกำลังศึกษาอยู่ หรือในกรณีที่บุตรอายุเกิน 25 ปี ขึ้นไป แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีบุตรคนที่ 2 ขึ้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
    • กรณีมีเฉพาะบุตรชอบด้วยกฎหมาย: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรกี่คนก็ได้ตามจำนวนบุตรจริง
    • กรณีมีเฉพาะบุตรบุญธรรม: สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบุตรได้คนละ 30,000 บาท สูงสุด 3 คน
    • กรณีมีทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม: ให้ใช้สิทธิบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก่อน และหากบุตรบุญธรรมเป็นคนที่ 4 จะไม่สามารถใช้สิทธิได้ แต่ถ้าบุตรบุญธรรมอยู่ในคนที่ 1-3 สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้
  • ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน กล่าวคือ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท (และจะต้องไม่ใช่พ่อแม่บุญธรรม) โดยบิดามารดาจะต้องมาอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนซ้ำระหว่างพี่น้องได้
  • ค่าลดหย่อนภาษีกรณีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพลภาพ จำนวนคนละ 60,000 บาท และผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และมีบัตรประจำตัวผู้พิการ รวมถึงจะต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะ

3. ลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน

ในกรณีที่คุณจ่ายเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หรือ เงินฝากแบบมีประกันชีวิตในช่วงปีที่ผ่านมา สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายตลอดทั้งปีมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องเป็นกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ที่ทำกับบริษัทประกันในประเทศไทยเท่านั้น

  • เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
  • เบี้ยประกันสุขภาพ รวมถึงเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
  • เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้
  • เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท หรือต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อรวมกับหมวดการลงทุนเพื่อการเกษียณแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

4. ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน

การลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนอีกหนึ่งวิธีลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยเราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ได้ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF: Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF: Super Saving Funds) เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยให้สิทธิประโยชน์สำหรับลดหย่อนภาษี 5 ปี
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถนำมาลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท
  • เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) สำหรับผู้ที่ลงทุนในธุรกิจ Social Enterprise ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยธุรกิจนั้นต้องจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่ประสงค์แบ่งปันกำไร และต้องถือหุ้นจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกิจการ

5. ลดหย่อนภาษีด้วยกลุ่มเงินบริจาค

ลดหย่อนภาษีด้วยกลุ่มเงินบริจาค

การลดหย่อนภาษีด้วยกลุ่มเงินบริจาค หากเรามีการบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ สามารใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาคจริง แต่การลดหย่อนผ่านเงินบริจาค ต้องมีการอัปเดตเงื่อนไขจากภาครัฐอยู่เสมอ เพราะอาจมีทั้งองค์กรที่เพิ่มขึ้น และเงื่อนไขการรับบริจาคที่ปรับปรุงใหม่

  • เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า หากคุณบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ สามารใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าของเงินที่บริจาครจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยงาน หรือโรงพยาบาลที่เข้าเงื่อนไขได้ที่ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
  • บริจาคลดหย่อนภาษีทั่วไป สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหัก
  • บริจาคพรรคการเมือง สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท

6. ลดหย่อนภาษีโดยการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

รายจ่ายกลุ่มสุดท้ายที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดหย่อนภาษีได้ก็คือ การใช้จ่ายที่อยู่ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ โดยปีนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีหลายรายการที่น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชน มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ในปี 2567

  • Easy e-Receipt 2567 สามารถนำค่าซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ตามที่จ่ายจริง มีเงื่อนไขที่ต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการที่มีใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice หรือ e-Receipt) ตั้งแต่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 โดยสินค้าและบริการที่นำมาลดหย่อนจะเป็นสินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้า OTOP หนังสือและ E-Book
  • เที่ยวเมืองรอง 2567 สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบค้นหาเสน่ห์ของเมืองรอง รัฐบาลมีข่าวดีที่สามารถนำค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเมืองรองมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท ตามที่จ่ายจริง โดยครอบคลุม 55 จังหวัดรอง ค่าใช้จ่ายที่นำมาลดหย่อนได้จะเป็นค่าบริการท่องเที่ยวมัคคุเทศก์ ค่าแพ็คเกจทัวร์ ค่าที่พักในโรงแรม รีสอร์ท หรือโฮมสเตย์ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 (รอประกาศเป็นกฎหมาย)
  • ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ที่กำลังผ่อนบ้านหรือคอนโด สามารถนำดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยมาลดหย่อนภาษีได้ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ครอบคลุมที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ เช่น บ้านเดี่ยว คอนโด ห้องชุด และอาคาร
  • ค่าสร้างบ้านใหม่ 2567-2568 สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนสร้างบ้านใหม่ รัฐบาลมีมาตรการพิเศษให้คุณสามารถนำค่าก่อสร้างมาลดหย่อนภาษีได้ ลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อค่าก่อสร้างทุก 1 ล้านบาท (รวม VAT) ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท จำกัดเพียง 1 หลังเท่านั้น มูลค่าก่อสร้างสูงสุดที่นำมาคำนวณ: 10,000,000 บาท ช่วงเวลาที่เริ่มก่อสร้าง 9 เมษายน 2567 – 31 ธันวาคม 2568

ฝากเงินกับ ธอส. ไม่เสียภาษี รับดอกเบี้ยเต็ม ๆ

ในปัจจุบันวิธีเก็บเงินที่ได้รับความนิยมที่สุด คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการเก็บเอาไว้ในบัญชีเงินฝากของธนาคาร แต่หลาย ๆ คนที่มีเงินฝากจำนวนมาก ก็อาจจะมีความกังวลเกี่ยวกับภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก และไม่อยากยุ่งยากไปกับการลดหย่อนภาษี

ฝากเงินกับ ธอส. สามารถทำได้ง่าย มีความเสี่ยงต่ำ เงินต้นไม่หายไปไหน และสามารถมั่นใจได้กับดอกเบี้ยที่แน่นอน และบางครั้งระยะเวลาที่กำหนดในการฝากเงินก็จะช่วยให้เงินไม่ถูกนำไปใช้ตามใจของเรามากจนเกินไป 

อีกทั้งฝากเงินกับ ธอส. ยังไม่เสียภาษี และยังมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าอีกด้วย นอกจากนั้น ธอส. ยังมีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้สามารถเลือกการออมในรูปแบบต่าง ๆ ได้

ดูผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธอส. ได้ที่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากธอส.

สนใจเปิดบัญชีเงินฝาก ธอส. ได้ที่นี่ > ฝากเงินกับ ธอส.

สลากออมทรัพย์ ธอส. ช่วยเพิ่มโอกาสในทุกการลงทุน

นอกจากเรื่องของเงินฝาก ธอส. ยังได้เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มั่นคงให้ผลตอบแทนดี กับสลากออมทรัพย์ ธอส. เริ่มต้นหน่วยละ 1,000 บาท ลุ้นรางวัลใหญ่ทุกเดือน โอกาสถูกรางวัลสูง

ฝากเงินและซื้อสลากออมทรัพย์ กับ ธอส. ง่าย ไม่เสียภาษี พร้อมผลตอบแทนที่คุ้มค่า

การฝากเงิน หรือการซื้อสลากออมทรัพย์ ถือเป็นการสร้างความมั่นคงในชีวิต และการลงทุน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่เราต้องการได้ เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่ปลอดภัยด้านการเงินตลอดไปจนถึงวัยเกษียณ เลือกฝากเงินกับ ธอส. ไม่เสียภาษี พร้อมผลตอบแทนที่คุ้มค่า รวมไปถึงการซื้อสลากออมทรัพย์ กับ ธอส. เพื่อการลงทุนที่มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนดี 

หากสนใจฝากเงินกับ ธอส. สามารถกรอกข้อมูล เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการฝากเงิน >>> ได้ที่นี่

สนใจลงทะเบียนซื้อสลากออมทรัพย์ได้ที่ >>> ได้ที่นี่

นอกจากนี้ ถ้าคุณวางแผนจะซื้อบ้านและต้องการที่ปรึกษาวางแผนและบริหารจัดการด้านการเงินต่าง ๆ ก็ปรึกษากับเราโดยตรงได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาใกล้บ้านคุณ 

สนใจขอสินเชื่อบ้านกับ ธอส. ได้ผ่านช่องทางบริการดังนี้

  • ยื่นขอสินเชื่อด้วยตนเองผ่าน GHB ALL GEN คลิก https://bit.ly/42bftBa
  • ให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารติดต่อกลับ เพื่อแนะนำสินเชื่อคลิก https://bit.ly/45KbcG9
  • แชทสอบถามปรึกษาสินเชื่อคลิก m.me/GHBank
  • ข้อเสนอดีๆ เพื่อคนอยากมีบ้านจาก ธอส. เพิ่มเติมคลิก : https://www.ghbank.co.th/product/loan

ที่มา: 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
-

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องที่คุณ
อาจสนใจ

เจาะลึก 9 สาเหตุที่ทำให้กู้บ้านไม่ผ่าน พร้อมวิธีแก้และเทคนิคการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนยื่นกู้ เพื่อให้คุณมีบ้านในฝันได้ง่ายขึ้น
รวมข้อมูลสินเชื่อต่อเติมบ้าน ธอส. 2567 ดอกเบี้ยเริ่ม 2.60% ผ่อนนาน 40 ปี พร้อมเงื่อนไขและคุณสมบัติผู้กู้ที่คุณต้องรู้
การออมเงินที่เหมาะสมสำหรับวัยเกษียณ เปรียบเทียบข้อดีระหว่างหวยเกษียณ เงินฝากประจำ และสลากออมทรัพย์ พร้อมคำแนะนำที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก
เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก
เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ติดตามข่าวสารจาก GH BANK

อัปเดตทุก เรื่องบ้าน

อัพเดตเรื่องบ้านก่อนใคร รู้ก่อนได้เปรียบ

ค้นหาตาม Keyword เช่น การเงิน, การลงทุน, สินเชื่อ, บ้าน