สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน ปัจจัยสำคัญ คือ แนวคิด (Mindset) และนิสัยหรือพฤติกรรม (Habit and behaviour) เช่นเดียวกันกับข้อแตกต่างระหว่าง “คนที่มีเงิน” กับ “คนที่ไม่มีเงิน (เพียงพอ)” นั่นก็เป็นเพราะว่ามีมุมมองหรือแนวคิดต่อเงินไม่ถูกต้อง อีกทั้ง ยังมีนิสัยหรือพฤติกรรมการใช้เงินที่ขัดขวางความมั่นคงมั่งคั่งไปตลอดชีวิต
หากคุณเข้ามาอ่านบทความชิ้นนี้ แสดงว่าคุณเป็นหนึ่งคนที่ไม่ใช่แค่อยากมีเงิน แต่ตระหนักได้ว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุ และต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 เคล็ดลับเปลี่ยนตัวเอง ต่อไปนี้ คือ แนวทางที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงแนวคิดที่มีต่อเงินให้ดีขึ้น พร้อมทราบนิสัยการเงินที่ควรสร้างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็น “คนมีเงิน” อย่างแท้จริง
1. เรื่องเงินเป็นเรื่องของทุกคน (และเงินไม่ใช่สิ่งเลวร้าย)
แม้หลายๆ คนจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าความรู้ด้านการเงินจะช่วยให้สามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นหนทางที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งในระยะยาวอย่างมั่นคงได้ กระนั้น ก็ยังไม่เห็นความสำคัญเท่าที่ควร บางคนยังรู้สึกว่า “ไม่ได้มีเงินเยอะ จะรู้ไปทำไม” เช่น การลงทุน การออม หรือการติดตามการใช้จ่าย ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องของคนที่มีเงินจำนวนมากเท่านั้น
นอกจากนี้ ในสังคมบางส่วนยังมองว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องไกลตัวหรือถึงขั้นเป็นเรื่องไม่ควรใส่ใจ เพราะการตีความคำกล่าวต่างๆ เช่น “เงินทองเป็นของนอกกาย” “ความสุขที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินในบัญชี” ผิดไป รวมทั้ง ยังผูกโยง “เงิน” กับ “ความโลภ” “กิเลส” หรือ “การเป็นคนเห็นแก่ตัว” อีกด้วย ทำให้ทัศนคติต่อการเรียนรู้เรื่องเงินดูแย่ และเมื่อไม่มีความรู้ เราจะจัดการกับเงินให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณควรเปลี่ยนแปลงตัวเองถ้าอยากมีเงินก็คือ เปลี่ยนแปลงทัศนคติเรื่องเงินใหม่ว่า “เรื่องเงินเป็นเรื่องของทุกคน และเงินไม่ใช่สิ่งเลวร้าย”
2. อยากมีเงินต้องจัดระเบียบการเงิน
โดยทั่วไป หากเป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับการเงินมากนัก ก็มักจะละเลยการจัดระเบียบการเงินหรือใช้จ่ายเงินเป็นระบบ แต่ถ้าใครที่มีทัศนคติต่อการเงินที่ดีหรือได้ปรับปรุงแนวคิดทางการเงินใหม่แล้ว ก็น่าจะเริ่มเห็นความสำคัญของการจัดการเงินให้เป็นระเบียบ
การจัดระเบียบการเงินในที่นี้ หมายความถึงการติดตามการใช้จ่ายของตัวเองและควบคุมการใช้จ่ายให้เป็นระบบ ด้วยการทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย และการทำงบประมาณส่วนบุคคล
ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย
การทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ถือเป็นการจัดระเบียบการใช้จ่ายให้เห็นว่ามีรายได้และรายจ่ายจากทางใดบ้าง ช่วยให้คุณสามารถติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองว่ามักใช้จ่ายกับอะไร และสิ่งนั้นจำเป็นแค่ไหน ทำให้เห็น “รูรั่ว” ของกระเป๋าเงิน เพื่อที่จะได้หาแนวทางปรับปรุงพฤติกรรมและรู้เท่าทันการใช้จ่ายของตัวเองได้ดีกว่านี้
ทำงบประมาณส่วนบุคคล
อีกสิ่งที่ต้องทำเพื่อจัดระเบียบการเงิน คือ การทำงบประมาณส่วนบุคคล เพื่อควบคุมการใช้จ่ายของตนเองอย่างเป็นระบบ โดยเมื่อทราบรายจ่ายของตัวเองโดยประมาณในแต่ละเดือน ก็จะช่วยให้สามารถวางแผนได้ว่าในแต่ละเดือนคุณมีอะไรที่ต้องจ่ายบ้าง และแต่ละรายการต้องจ่ายเท่าไร ทั้งนี้ ให้คุณรวม “เป้าหมายการออม” เป็นหนึ่งในรายการที่ต้องจ่ายด้วย
ตัวอย่างการทำงบประมาณส่วนบุคคลอย่างคร่าว
3. ไม่ลืมตั้งเป้าหมายการเงิน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่จะขัดขวางไม่ให้เราสามารถเก็บเงิน สร้างรายได้ และกลายเป็น “คนมีเงิน” อย่างแท้จริงได้ นั่นคือการขาดเป้าหมาย เพราะลำพังอยากรวย อยากมีเงิน เพียงเท่านั้น ความตั้งใจก็จะไม่มี ความฝันจะมีเงินก็คงเป็นไปได้ยาก ขาดเป้าหมายและแรงกระตุ้น
สิ่งที่ควรตั้งต้นใหม่ คือ การวางเป้าหมายการเงิน เช่น ตั้งใจเก็บเงินสำรองสำหรับ 6 เดือนให้ได้ ปิดหนี้ให้ได้ภายใน 1 ปี เก็บเงิน 1,000,000 บาท แรก ให้ได้ภายใน 5 ปี เป็นต้น เพราะการตั้งเป้าหมายจะนำทางคุณไปสู่สถานีต่อไป คุณจะเริ่มถามตัวเองว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ไปทางไหนจึงจะถึงเร็วที่สุด และเป้าหมายยังช่วยให้คุณเห็นความคืบหน้าว่าตอนนี้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จมากเพียงใดแล้ว
ทั้งนี้ เคล็ดลับในการตั้งเป้าหมายการเงินให้สำเร็จนั้น ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน มีจุดประสงค์แน่วแน่ และมีระยะเวลากำหนด (ที่ต้องสัมพันธ์กับจำนวนเงินเป้าหมายด้วย) เพื่อเพิ่มโอกาสให้เป้าหมายเป็นจริงได้
4. ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ ไม่ต้องรอใครช่วย
หนึ่งในความเชื่อที่เป็นภัยต่อความมั่งคั่งร่ำรวย คือ การรอคอยโชคชะตาหรือคาดหวังว่าใครจะต้องมาช่วยเหลือรับผิดชอบตัวเรา เช่น การหวังรวยด้วยการเสี่ยงโชค หรือคิดว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานใดๆ ต้องเข้ามาช่วยเหลือหรือรับผิดชอบคุณภาพชีวิตของตน
ความเชื่อเช่นนี้ทำให้ขาดพลังและความเชื่อมั่นในตัวเองจนไม่มีความกระตือรือร้นอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรให้สำเร็จด้วยตัวเอง นอกจากนี้ คนที่มีความเชื่อเช่นนี้ยังมีแนวโน้มที่จะโทษผู้อื่น จนมองไม่เห็นปัญหาของตน และไม่รู้ว่ามีอะไรที่ต้องแก้ไขเพื่อให้ตัวเองพัฒนา
การจะประสบความสำเร็จทางการเงินได้ ต้องเกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองเท่านั้น คนที่มีเงินหรือมหาเศรษฐีต่างทุมเททำงาน บริหารเงิน และสร้างฐานะด้วยตัวเอง
5. ฝึกออมให้ “ง่าย” ฝึกจ่ายให้ “ยาก”
ทุกคนต่างทราบกันดีว่า “การออม” คือพื้นฐานของความมั่นคงมั่งคั่งทางการเงิน และเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ แต่อย่างไรมนุษย์ก็ยังใช้จ่ายกันตามอารมณ์อยู่ดี เช่น ซื้อเสื้อผ้าตามกระแสแฟชั่น รู้สึกอยากกินอาหารหรืออยากเที่ยวในที่ที่ใครหลายคนไป เป็นต้น จึงต้องหาวิธีช่วยเก็บเงินมาแก้ไข วิธีที่อยากนำเสนอ เรียกว่า เคล็ดลับ “ออมให้ง่าย จ่ายให้ยาก”
หนึ่งในวิธีการออมที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การออมก่อนใช้โดยตัดบัญชีเงินรายได้เข้าบัญชีเงินออมอัตโนมัติ วิธีนี้ง่ายที่สุด เพราะคุณไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่ลงมือตั้งระบบตัดเงินอัตโนมัติครั้งแรก หรือสำหรับการงดหรือลดรายจ่าย ก็แค่ทำให้การจับจ่ายเป็นเรื่องยาก เช่น ไม่สมัครบัตรเครดิต ไม่แวะห้างสรรพสินค้า พกเงินสดให้น้อยลง ไม่รับบัตร ATM สำหรับบัญชี
นอกจากนี้ คุณควรจะใช้เครื่องมือเก็บเงินที่ช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพและทำให้การเก็บเงินของคุณง่ายขึ้น
- บัญชีเงินฝากประจำ เครื่องมือตัวนี้โดดเด่นที่เราไม่สามารถถอนเงินมาใช้ก่อนกำหนดได้ จึงทำให้เราเก็บเงินได้นาน และหากใช้เคล็ดลับตัดเงินเข้าฝากอัตโนมัติแล้วด้วย รับรองได้ว่าคุณจะมีเงินออมมากมายอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน นอกจากนี้ การฝากออมประจำยังสามารถกำหนดเวลาเองได้ด้วย ตั้งแต่ 3 – 60 เดือน
- บัญชีออมทรัพย์แบบพิเศษ เครื่องมือตัวนี้มีเฉพาะบางธนาคารเท่านั้น เป็นบัญชีออมทรัพย์ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้คุณอยากเก็บเงินได้มากขึ้น เพราะจำกัดจำนวนการถอน จึงเหมาะสำหรับคุมการใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงกกว่าออมทรัพย์ทั่วไปอีกด้วย
6. จ่าย “แพง” วันนี้ เพื่อ “ประหยัด” วันหน้า
หลายคนที่อยากมีเงิน อยากเก็บเงินให้ได้มากๆ อาจมุ่งมั่นแต่เพียงการเก็บออมและประหยัดรายจ่ายในปัจจุบันเท่านั้น แต่ทัศนคติของคนที่จะประสบความสำเร็จทางการเงินจะไม่ได้มองรายจ่ายเพียงเท่านั้น เขาจะมองความสำเร็จในระยะยาว มองการณ์ไกลว่าสิ่งใดจะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้เร็ว
เคล็ดลับในการ “จ่ายแพงเพื่อประหยัด” นั้น หมายถึง การใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า เช่น รับประทานอาหารที่มีคุณภาพเพื่อหลีกเลี่ยงค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ทำประกันภัยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซื้อเครื่องนุ่งห่มที่มีคุณภาพดีสามารถใช้ได้นานเพื่อไม่ต้องซื้อบ่อยๆ หรือลดโอกาสการไปร้านเสื้อผ้าซึ่งกระตุ้นให้รู้สึกอยากได้อยู่เสมอ หรือซื้อรถยนต์ที่มีระบบความปลอดภัยที่รัดกุมกว่าเพื่อรักษาชีวิตและการสูญเสีย เป็นต้น
7. ใส่ใจค่าธรรมเนียมและสิทธิประโยชน์
ค่าธรรมเนียมและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นสิ่งที่น้อยคนจะใส่ใจ เพราะคิดว่าเงินจำนวนนั้นเล็กน้อย จึงไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร
ในหนึ่งปีหากคุณสามารถสรุปค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมกันได้ คุณอาจตกใจกับจำนวนเงินที่เสียไปโดยไม่รู้ตัวว่ามันมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมบัตร ATM ค่าธรรมเนียมบัญชีเงินฝาก ค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายกองทุน ค่าธรรมเนียมโอนเงิน ค่าธรรมเนียมบัตรเครเดิต ฯลฯ ก่อนทำธุรกรรมต่างๆ จึงไม่ควรลืมคำนึงถึงค่าใช้จ่ายส่วนนี้ และควรวางแผนก่อนทำธุรกรรมด้วย
สำหรับสิทธิประโยชน์ เช่น ประกันสังคม ประกันภัย สวัสดิการขององค์กร หมายคนเองก็มักจะไม่ได้ศึกษาให้ดี หรืออาจลืมไปว่าตนมีสิทธิรับประโยชน์ ทั้งๆ ที่สิทธิประโยชน์ทั้งหลายสามารถช่วยลดรายจ่ายได้มากเช่นกัน เช่น ค่าตรวจสุขภาพ ค่าทำฟัน ค่ารักษาพยาบาล หรือการเบิกค่าเดินทางจากบริษัท เป็นต้น
8. ความเสี่ยงไม่น่ากลัวเท่าความเฉื่อย
การลงทุน คือ วิธีการสร้างรายได้อีกทางนอกเหนือจากงานที่ทำประจำ ข้อดีของการลงทุนมักจะเป็นการลงทุนเพียงไม่กี่ครั้ง ลงแรงไม่มากหรือไม่กี่ครั้ง และไม่เสียเวลา เป็นช่องทางหารายได้แบบ “เสือนอนกิน” (Passive income) หรือเปรียบเสมือนเครื่องทุนแรงที่ช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้น
กระนั้น หลายคนก็ไม่ลงมือทำสักที ด้วยคิดความกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ไม่อยากเสี่ยง และคอยแต่ศึกษาจากตำราโดยไม่ลงมือทำจริงๆ หรือการบอกตัวเองว่า “จะทำ” แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ เราควรเปลี่ยนความคิดเช่นนั้นเป็น “การเรียนรู้จากการลงมือทำ” หรือ “Learning by doing” มากกว่า
แม้ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” แต่ยิ่งเสี่ยงเท่าไร นั่นหมายความว่าเราควรจะ “ทำ” และ “ศึกษา” เพื่อเรียนรู้มันให้ดีและรอบคอบมากยิ่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน เพราะอย่างไรความรู้ที่ได้มาก็จะช่วยให้เราพัฒนาตัวเอง และค่อยๆ รู้แนวทางการลงทุนดียิ่งขึ้น อย่ามัวกลัวว่าการลงทุนจะขาดทุน หรือมัวแต่ศึกษาเตรียมตัวจนความตั้งใจกลายเป็น “ความเฉื่อยชา” จนไม่ได้เริ่มต้นลงมือสักที
9. หนี้สินก็สร้างรายได้ได้
ใครๆ ต่างก็บอกว่า “หากอยากมีเงิน อย่าสร้างหนี้” ซึ่งคำกล่าวนี้ก็เป็นความจริง เพราะอย่างไร หนี้สินก็คือสิ่งที่เราต้องผ่อนชำระคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ยซึ่งมักจากสูงกว่าเงินต้น กระนั้นก็ตา หนี้สินไม่ได้มีแค่ “หนี้จน” แต่ยังมี “หนี้รวย” ด้วยเช่นกัน
หนี้จน หมายถึง ภาระหนี้สินที่เราต้องจ่ายโดยไม่มีความจำเป็น เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสด หรือหนี้ผ่อนซื้อของที่ไม่จำเป็น
หนี้รวย หมายถึง ภาระหนี้สินที่เกิดจากความจำเป็นหรือมีจุดประสงค์เพื่อการลงทุนซึ่งสร้างกำไรให้ภายหลัง เช่น หนี้สินเชื่อบ้าน หนี้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับปล่อยเช่า เป็นต้น
ทั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะมีทั้งหนี้จนและหนี้รวย เมื่อมีทัศนคติว่า หนี้ช่วยให้ชีวิตมีความคล่องตัวมากขึ้นและช่วยให้ประสบควมสำเร็จได้เพียงแต่ต้องมีการวางแผนบริหารหนี้อย่างรอบคอบ การมีหนี้ก็จะไม่ได้น่ากลัวต่อไป ทั้งยังช่วยให้คุณ “กล้า” ที่จะลงมือลงทุนให้เงินงอกเงยมากยิ่งขึ้นด้วย
10. แบ่งเงินเป็นต้นทุนความรู้และการพัฒนาตนเอง
เศรษฐีจำนวนมากหรือคนที่มีอิสรภาพทางการเงิน (Financial freedom) จะให้ความสำคัญกับการศึกษาและการพัฒนาตัวเองเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารู้ว่าการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด การศึกษาไม่ได้จบเพียงรั้วมหาวิทยาลัย เพราะโลกหมุนไปทุกวัน ความรู้เกิดขึ้นใหม่เสมอ และการพัฒนาตัวเองก็คือการเพิ่มมูลค่าให้ตนเองที่ดีที่สุด
การพัฒนาตัวเองจะช่วยให้คุณสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ได้เลื่อนตำแหน่ง เห็นช่องทางทำกำไรมากขึ้น ทำงานมีความสุขมากขึ้น จนเกิดความพอใจในชีวิตที่ช่วยลดความต้องการที่ฟุ่มเฟือยลงได้ ยังผลให้มีชีวิตที่เป็นสุข ดังนั้น ไม่ใช่แค่อยากมีเงิน แต่อยากมีชีวิตที่เป็นสุขได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป หนึ่งสิ่งที่ควรเริ่มต้นทำตั้งแต่วันนี้ คือ การหาความรู้ทั้งเรื่องเงินและด้านอื่นๆ รวมทั้งพัฒนาตัวเอง ซึ่งอาจแบ่งเงินจากรายจ่ายไม่จำเป็นเป็นค่าคอร์สการเงิน ค่าเรียนภาษาเพิ่มเติม ซื้อหนังสือพัฒนาตัวเอง ฯลฯ ที่ช่วยให้คุณเติบโตได้ไกลกว่าคำว่า “รวย”
สรุป
แนวคิดและนิสัยเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คนคนหนึ่งประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว สำหรับคนอยากมีเงิน หากยังมีทัศนคติต่อการเงินที่ไม่ถูกต้อง มีนิสัยการใช้จ่ายเพียงระยะสั้น ความอยากก็ยังคงเป็นเพียงแค่ความอยาก แต่สำหรับคนที่อยากมีเงินและต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งความคิดและพฤติกรรม “ความอยาก” จะกลายเป็น “ความจริง” ได้ ด้วยความมุ่นมั่นตั้งใจ และลงมือทำอย่างต่อเนื่อง